[2/3]
[2/3]
“มีอะไรกันรึเปล่าคะ คุณลูกค้า”
แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้เดินเข้าไปด้านในร้านที่จะดูกล้องวงจรปิด ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทั้งยังทำหน้าต้องการคำอธิบายจากพนักงานสาวคนนั้น
ท่าทางการแต่งตัวดีมากและเหมือนกับว่าเธอจะเป็นเจ้าของร้านเสียด้วยซ้ำ ถ้าเกิดว่าฉีเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
“คือว่าลูกค้าเขาอยากจะขอดูกล้องวงจรปิดค่ะพี่เอม”
“ดูกล้องวงจรปิด?”
“ใช่ครับ พอดีว่ามีคนกล่าวหาว่าพวกผมมาแย่งที่นั่ง และเป็นคนเอาเสื้อของเขาไปทิ้งน่ะครับ คุณเป็นเจ้าของร้านใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะเอมเป็นเจ้าของร้านนี้เอง และเสื้อที่พวกคุณตามหากันอยู่มันไม่ได้หายไปไหนหรอกนะคะ เอมเป็นคนเก็บไว้เอง”
“อ้าว!”
“เอมต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่น ๆ ขึ้น แต่ทางร้านไม่ได้มีนโยบายให้ลูกค้าจองโต๊ะเอาไว้แบบนี้และเดินไปเล่นที่อื่นนะคะ ถ้าแบบนี้แล้วลูกค้าคนอื่นมาทีหลังเขาก็คงจะไม่ได้นั่งพอดีล่ะค่ะ กว่าคุณจะกลับมานั่งโต๊ะได้ ฉะนั้นเสื้อแขนยาวสองตัวนั้นเอมก็เลยเก็บเอาไว้ให้หลังร้านค่ะ”
“ได้ยินชัดแล้วใช่ไหมคะน้อง?” อิ้งค์เดินมาจับแขนฉีแล้วมองหน้ายิ้มเย้ยใส่ผิงและเพื่อนอย่างผู้ชนะ แม้จะเพิ่งรู้จักกันวันนี้แต่กลับหมั่นไส้เด็กสองคนนี้เลย แต่งตัวราวกับสก๊อยส์เข้ากรุงทั้งเสื้อผ้ากางเกงและรองเท้าแตะ
“แต่พวกเราออกไปแปบเดียวเองนะคะพี่” แม้สิ่งที่เจ้าของร้านคนนี้พูดมามันจะทำให้ผิงไม่มีคำโต้เถียง แต่เพราะคู่กรณีเป็นถึงแฟนเก่าอย่างเฮียฉีแบบนี้ผิงเองก็ไม่อยากเสียหน้า
“คือเอมมองดูเสื้อที่โต๊ะนี้ได้เป็นครึ่งชั่วโมงเลยค่ะ ก็เลยตัดสินใจเก็บมา เพราะคิดว่าลูกค้ากลับไปแล้วและก็คงจะลืมมันไว้ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“งั้นหนูกับเพื่อนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ป่ะ! กลับกันเถอะผิง” นาทีนี้แฟนท์ก็ไม่อยากอยู่ให้อายคนในร้านนานกว่านี้หรอก ขอตัวกลับบ้านไปตั้งหลักกันก่อนแล้วกัน
พรึบ!!
“ปล่อย... แต่เราก็เป็นลูกค้านะคะ อีกอย่างมันก็ไม่มีป้ายติดบอกนี่คะว่าจำกัดเวลานั่ง”
“ผิง...” ดูเหมือนว่าคราวนี้เรื่องมันจะไม่จบง่าย ๆ แล้ว เมื่อผิงไม่ยอมอะไรเลย ใครจะถูกหรือผิดแฟนท์ไม่รู้หรอก... รู้แค่ว่าตอนนี้ไม่อยากมีประเด็นกับใคร
แล้วดูจากทรงคู่กรณีแล้วก็เป็นผู้ใหญ่กว่าพวกเธอด้วย อย่างอีกก็มีเฮียฉีอยู่ตรงนี้ แฟนท์อดเป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนไม่ได้เอาตรง ๆ เลย
“แล้วน้องจะเอายังไงกับพี่คะ? หรือถ้าอยากนั่งต่อก็นั่งเลย อ่ะ!... พี่กับแฟนจะเสียสละให้ เชิญค่ะ”
“กลับกันเถอะอิ้งค์”
“ไปเถอะฉี เราเบื่อ... น่ารำคาญ”
อิ้งค์เริ่มรำคาญเด็กสาวสองคนนี้มากขึ้นแล้ว เหมือนสิ่งที่เจ้าของร้านพูดไปนั้นไม่ได้เข้าถึงแก่นสมองของเด็กพวกนี้เลยด้วยซ้ำ
และตอนนี้อิ้งค์ก็กินอะไรไม่ลงแล้วหากยังเป็นแบบนี้ สู้ให้ทานเด็กตาดำ ๆ สองคนนั่งไปเถอะ ถ้าเกิดอยากจะได้ขนาดนั้น เธอไม่มีเวลามาเล่นลิ้นกับใครหรอกเสียเวลาชีวิต
ถ้าเกิดสู้กับคนที่สมศักดิ์ศรีกับลูกเจ้าของห้างทองอย่างเธอจะไม่ว่าเลยสักคำ นี่จะให้มายืนทะเลาะกับสก๊อยส์ข้างทางที่ไหนก็ไม่รู้ เสื่อมเสียชื่อเสียงตัวเองหมด
“ไปก็ได้ก็ดี ชิ่วๆ” เมื่อทั้งคู่เดินออกไปยังไม่ทันจะพ้นร้านเลย ยังมีเสียงของผิงไล่ตามหลังขึ้นมาอีก เหมือนกับสะใจมากที่เอาชนะสองคนนั้นได้ แม้ว่าจะแลกกับการต้องทนหน้ามึนต่อเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เอาไว้
ผิงรู้ว่าตัวเองอาจจะผิดจริงที่ทำแบบนี้ ทว่าความไม่อยากยอมแพ้ให้คนเมื่อครู่นี้กับแฟนสาวของเขา มันทำให้ผิงต้องสู้กลับและต้องชนะให้ได้
ตกเย็นวันเดียวกันหลังจากที่กลับมาจากเที่ยวตะลอนเกือบทั้งวัน แฟนท์ขับรถมาส่งผิงถึงบ้านพร้อมกับเข้ามาทักทายพ่อแม่ของเพื่อนสนิท ก่อนจะขับกลับบ้านตัวเองไป
ผิงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมานั่งดูโทรทัศน์ด้านล่างระหว่างรอเฮียส้งและเพ็ญพรช่วยกันทำกับข้าวมื้อเย็นอยู่
เตี่ยกับม๊าของผิงเป็นพวกทำมาหากินเช้าค่ำอยู่แล้ว เรื่องงานบ้านงานครัวมีหรือจะบกพร่อง เฮียส้งไม่เคยเกี่ยงให้เมียตัวเองเหนื่อยงานบ้านตัวคนเดียวอยู่แล้ว
ฉะนั้นทุกเย็นตั้งแต่เด็กยันโตผิงก็จะเห็นภาพเตี่ยกับม๊าช่วยกันทำกับข้าวแบบนี้เป็นประจำเสมอ และทั้งบ้านก็คงจะมีแค่ผิงคนเดียวที่งอมืองอเท้ารอให้บุพการีทั้งสองคอยหยิบยื่นทุกสิ่งให้
“ผิง... มายกกับข้าวออกไปเลยลูก”
“เคม๊า รอแปบ” แม้จะขานรับไปแล้ว แต่ยังนั่งกดโทรศัพท์แชทคุยกับใครบางคนอยู่
“มาเร็ว ๆ เลยอาผิง ไม่ต้องปงต้องแปบ”
“โห.. เตี่ยอ่ะ” คราวนี้เสียงเร่งรีบจากเฮียส้งเด็ดขาด จนผิงต้องจำใจวางโทรศัพท์ตัวเองเอาไว้ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในครัว
มื้อเย็นวันนี้น่ากินทุกอย่าง ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือของเหลือจากที่ร้าน มันสามารถนำมาแปรรูปได้หลายอย่างหลายเมนูเลย แน่นอนว่าเตี่ยกับม๊าของผิงเก่งอยู่แล้วถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ และตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน 2-3 วันนี้ ผิงก็รู้สึกว่าตัวเองมีเนื้อมีหนังขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
“พรุ่งนี้พอร์ชเขาจะมานะเตี่ยม๊า”
ขณะที่นั่งทานข้าวมื้อเย็นด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ผิงเลยได้โอกาสบอกผู้ปกครองทั้งสอง เพราะถ้าหากไม่บอกก็คงโดนบ่นหูชาตั้งแต่เช้ายันเย็นแน่นอน โดยเฉพาะเฮียส้งที่เคร่งเรื่องการรักนวลสงวนตัวของลูกสาวตัวเองมาก
พรุ่งนี้พอร์ชแฟนหนุ่มของผิงจะขับรถมาหาที่นี่ เพราะเป็นวันหยุดของเขา และก็ได้ตกลงกับผิงไว้แล้วว่าจะมาหาทุกวันหยุด
“อาพอร์ชจะมาหรอ? จริงสิพรุ่งนี้วันเสาร์นี่นา... ไอ้มาหามาเล่นด้วยน่ะมันก็ได้อยู่หรอก แต่ลื้อห้ามพาเขามานอนค้างที่บ้านนะเว้ยอาผิง”
“รู้แล้วหน่าเตี่ย” ผิงรับคำของเฮียส้งพร้อมกับถอนหายใจ เพราะฟังคำคำนี้มาตลอดแล้วตั้งแต่ที่บอกว่ามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว
เฮียส้งยังเข้าใจว่าพอร์ชคือแฟนคนแรกของลูกสาวตัวเองอยู่ เพราะตอนที่ผิงคบกับฉีตอนนั้นผิงยังเด็กมาก
จึงได้แต่ปิดบังเอาไว้ก่อนไม่อย่างนั้นคงโดนกักบริเวณไม่ได้ออกไปไหนได้อีกแน่เลย หรือดีไม่ดีตอนนั้นถ้าเฮียส้งรู้ก็คงจะไปยืนเกาะรั้วกำแพงโรงเรียนแล้วด้วยซ้ำ
“ถ้ายังไม่ตบไม่แต่งกัน ยังไงอั๊วก็ไม่ปล่อยให้ลื้อกับเขาคาดสายตาไปได้แน่นอน”
แม้ว่าเฮียส้งกับเพ็ญพรจะเจอพอร์ชบ่อยครั้งจนรู้จักว่าครอบครัวของพอร์ชทำงานอะไร แต่เฮียส้งก็ยังสร้างข้อจำกัดให้สองคนนี้อยู่เสมอมาตั้งแต่รู้เรื่องว่าลูกสาวคบกับทายาทเจ้าของโรงงานส่งออกผ้า
“เฮียก็... อย่าตีกรอบลูกมากหนักสิ ผิงมันก็โตแล้วนะ เรียนจบแล้วด้วย ปล่อย ๆ มันบ้างเหอะ”
“จริงที่สุดเลยม๊า ผิง 23 แล้วนะ กำลังจะเข้าสู่วัยทำงานอย่างเต็มรูปแบบแล้ว เตี่ยจะมาจู้จี้ผิงเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้วขอบอก” ผิงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเพ็ญพรอย่างยิ่ง จะมีก็แต่ม๊าของผิงคนนี้แหละที่เข้าใจวิถีวัยรุ่นยุคใหม่อย่างลูกสาวคนนี้
“เหอะ! เอาตัวเองให้รอดไปวัน ๆ ก่อนจะห้ามอั๊ว เอ้อ!... แล้วพรุ่งนี้ถ้าอาพอร์ชมาก็ชวนกันไปเอารถที่อู่หน้าปากซอยเราด้วยล่ะ อั๊วกับม๊าลื้อจะออกไปร้านแต่เช้า”
“เค เตี่ย”
“อ่ะ กินๆๆ”