[1/2]
[1/2]
วันถัดมาในตอนเช้าเฮียส้งก็เอารถฟีโน่คู่ใจของลูกสาวขึ้นใส่ท้ายกระบะขับมาทิ้งไว้ที่อู่หน้าปากซอยทางเข้าบ้าน
หลังจากนั้นก็ขับรถต่อไปขายของที่ร้าน วันนี้เพ็ญพรติดรถมากับเขาด้วยเพราะไม่อยากอยู่กับลูกสาวแล้ว เห็นว่าเมื่อวานงอนอะไรกันสักอย่างเขาเองก็ไม่รู้
“ไอ้จ๋อม... นี่รถใครวะ?”
รถมอเตอร์ไซต์คันสีฟ้าทรงเก่าที่มีเลขป้ายทะเบียนติดอยู่ด้านหลัง ทำให้เจ้าของร้านถึงกับต้องเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ พร้อมกับขยี้ตาดูให้ชัด ๆ นี่เขาไม่ได้ตาฝาดไปเองอย่างนั้นใช่ไหม
“รถเฮียส้งน่ะเฮีย เอามาทิ้งเอาไว้เห็นบอกพรุ่งนี้จะมารับ” จ๋อมเด็กในร้านบอกเจ้านายหนุ่ม พลางทำงานของตัวเองต่อ
“เฮียเขาจะเอามาซ่อมทำไมวะ? ปกติก็เห็นขับแต่รถกระบะทุกวัน” ฉีจำได้ว่ารถคันนี้มันเป็นของลูกสาวตัวดีของเฮียส้ง เขาเคยขับบ่อยครั้งในสมัยที่ไปเรียนด้วยกันกับเจ้าของรถคันนี้
ฉีเองตั้งแต่มากลับมาอยู่ที่บ้านแล้วมาเปิดกิจการอู่ซ่อมรถของตัวเองซึ่งก็หุ้นกับพี่ชายของเขาด้วย
แต่กลับมาอยู่ที่นี่ได้หลายปีแล้วยังไม่เจอหน้าเจอตาเจ้าของมันเลย ป่านนี้ไม่รู้ว่าย้ายทะเบียนบ้านไปตั้งหลักปักฐานอยู่เหนือเลยหรืออย่างไร
“เห็นว่าลูกสาวเขามา ไม่มีรถใช้เลยเอามาร้านนี่แหละ”
จ๋อมเพิ่งจะย้ายมาอยู่แถวนี้เมื่อปลายปีที่แล้วเอง เลยไม่รู้ว่าลูกสาวของพ่อค้าขายบะหมี่เป็นใคร และมีความสำคัญอย่างไรกับเจ้านายของตัวเอง
“มา? มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” พอได้ฟังจ๋อมบอกแบบนั้น ฉีก็แปลกใจขึ้นมาทันที หายไปตั้งนานพอกลับมาทำไมเอาป่านนี้ ทำไมไม่อยู่ที่นั่นไปเลยล่ะ
“ห๊ะ? เฮียพูดไรนะ ...ถามจ๋อมหรอ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร มึงทำงานต่อไปเถอะ” พูดจบก็เดินเข้าไปนั่งด้านในออฟฟิศตากแอร์เย็นฉ่ำ ให้ลูกน้องทำงานต่อไปเลย
ฉีเรียนจบวิศวะเครื่องกลจากมหา’ ลัยดังในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ที่เขาไปเรียนที่นั่นก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย มันมีเหตุผลอยู่ในใจของเขาบางอย่างที่ทำให้ไม่อยากกลับมา
ทางครอบครัวของเขาก็มีบ่น ๆ บ้าง เห็นลูกไปเรียนแค่กรุงเทพฯ ขับรถไปใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าจากชลบุรีก็ถือว่าไม่ได้มากเท่าไหร่นัก
แต่ทำไมลูกชายคนเล็กถึงไม่ยอมกลับบ้าน จนทั้งป๊า ม๊า และเฮียซานพี่ชายคนโตต้องเข้ากรุงเทพฯ ไปหาอยู่บ่อยครั้ง
จนกระทั่งพอกลับมาอยู่บ้านก็พอมีไอเดียและความสามารถของตัวเองอยู่แล้ว เลยจัดการเสนอร่างแบบแผนขอทุนทรัพย์จากครอบครัวให้มาลงทุนเปิดร้านนี้ให้กับเขา
โดยพื้นฐานครอบครัวฉีก็เป็นคนมีอันจะกินอยู่แล้ว เพราะมีที่ดินหลายแปลง ที่เก็บสะสมเอาไว้มาตั้งแต่สมัยบรรพบรุษที่พากันอพยพมาจากจีนในสมัยยุคพระเจ้าไหนก็ไม่รู้
ฉีเกิดไม่ทัน... พอเกิดมาลืมตาดูโลกก็มีเงินใช้ไม่ขาดแล้ว
ที่ดินบางส่วนถูกขายมาเป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจอย่างอื่น บางส่วนยังคงอยู่และถูกแปรรูปให้เป็นตลาดหลายแห่งทั่วเมืองชลบุรี วัน ๆ ม๊าของฉีและพี่ชายก็จะเดินเก็บค่าเช่าตามแผงต่าง ๆ ในตลาดนั่น
ส่วนป๊าของฉีเองก็ดูแลในส่วนสนามกอล์ฟของเขาไป เรียกได้ว่าบุญพาวาสนาส่ง ที่เกิดมารับมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นแบบไม่ได้ทำอะไรเลย มีแค่ต่อยอดนิดหน่อย
ฉีนั่งเขี่ยโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อยอย่างเบื่อหน่ายที่วันนี้ลูกค้าเข้าน้อย เลยไม่ค่อยมีอะไรจะทำ
จะออกไปข้างนอกแดดก็ร้อนรถก็ติดอีก ถึงแม้จะติดไม่เท่ากรุงเทพฯ แต่เพราะมันมีถนนเส้นหลักอยู่เส้นเดียว เพราะฉะนั้นรถมันเลยออกันอยู่ที่ถนนเส้นเดียว
กริ๊งง~~
ขณะนั่งเขี่ยโทรศัพท์เครื่องหรูยี่ห้อผลไม้ดังของเจ้าหนึ่งอยู่นั่น ก็มีสายเข้ามาพอดีก่อนที่นิ้วหนาจะกดรับ เพราะเห็นชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอแล้ว หากรับช้าคงจะโดนบ่นอีกเป็นแน่
“ฮัลโหล... ว่าไงครับอิ้งค์”
คนที่โทรเข้ามาตอนนี้ก็คืออิ้งค์ แฟนสาวของฉีเอง ซึ่งคบกันมาได้เกือบ ๆ 4 ปีแล้ว ตั้งแต่เรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยกัน และด้วยความบังเอิญมากที่อิ้งค์เป็นคนจังหวัดเดียวกันกับฉี
พอเรียนจบมาก็กลับมาอยู่แถวบ้าน เลยพอไปมาหาสู่กันได้สะดวกถึงแม้จะอยู่กันคนละตำบลก็ตาม
(ทำไรอยู่? วันนี้มาบางแสนไหม... คืออิ้งค์อยากกินข้าวซอยอ่ะ เห็นว่าร้านเขาเปิดใหม่ ฉีจะพาไปไหม?)
“แล้วฉีปฏิเสธอิ้งค์ได้หรอ?” แค่ข้าวซอยแถวบ้านอิ้งค์ยังต้องโทรมาชวนฉีที่อยู่ไกลกว่าเลย นี่แหละที่เขาเจอมาจนชินแล้วและก็ไม่สามารถปฏิเสธแฟนสาวได้เลย ไม่เช่นนั้นคงต้องเสียเวลาง้อกันอีกเช่นเคย
(งั้นอิ้งค์รอนะ วันนี้รถไม่อยู่อิ้งค์เลยไม่ได้ไปหาฉีที่ร้าน)
“ครับ”
(แดดร้อนนะ ขับรถยนต์มาเลยก็ได้... มอไซต์อิ้งค์นั่งไม่ถนัด)
“โอเค รอฉีแป๊บนะ”
วันนี้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ด้วยรถก็เลยติด อีกทั้งแดดในหน้าร้อนที่พร้อมจะเผาไหม้หากออกไปเผชิญกับมัน แต่ฉีคงหลีกเลี่ยงไม่ไปไม่ได้เพราะอิ้งค์จะมีเวลาว่างเจอกันกับฉีได้แค่วันหยุดของเธอเท่านั้น ส่วนวันธรรมดาอิ้งค์ก็มีงานประจำทำอยู่ที่ธนาคารสาขาแถวบ้านของเธอ จะให้เจอกันทุกวันก็คงเป็นไปไม่ได้
ฉีอยู่บางพระส่วนอิ้งค์อยู่บางแสน ถ้าไปกลับทุกวันมันก็พอได้อยู่ และก็ไม่ได้ไกลกันมากมายนัก ทว่ากว่าอิ้งค์จะเลิกงานก็ค่ำมืดเอาเสียแล้ว
อีกอย่างฉีเองก็มีงานที่อู่ต้องทำอยู่มากมายในช่วงวันธรรมดา
ทั้งคู่จึงตกลงกันว่าหากเป็นวันหยุดก็ควรจะไม่พลาดมาเจอกัน อย่างน้อยได้เห็นหน้ากันและกินข้าวด้วยกันสัก 2-3 ชั่วโมงก็พอหายเหนื่อยแล้ว