บทที่ ๓ แม่จัดให้ (๓)
น้องเขาแพ้ผู้หญิงตัวเล็กผิวขาว หน้าตาบ้องแบ๊วจิ้มลิ้ม เห็นแล้วรู้เลยว่าเป็นไทป์ที่ปลาบปลื้มชอบ ทว่าคนนี้ดันตั้งครรภ์ แถมคุณปริมกมลยังชอบลูกสะใภ้อีกต่างหาก น้องชายจึงตกที่นั่งลำบากกว่าปกติ
“อ้อ อย่างนี้เอง ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ค้อมศีรษะให้เจ้าของบริษัท แล้วหันมายิ้มให้สาวเจ้า หล่อนจึงยกมือไหว้เขาแล้วหลีกทางให้
“ฉันเป็นพี่ของปลื้ม เดี๋ยวจะให้รุธพาขึ้นไปหาเจ้านั่น ที่ฉันรู้ว่าเธอมาเพราะคุณแม่โทรบอก” ร่ายยาวจนฟังเกือบไม่ทัน แล้วหันไปหาเลขาที่ตามติดเพื่อสั่งการ ส่วนร่างสูงเดินออกไปขึ้นรถข้างนอกเพื่อพบลูกค้า ต้องทำงานแม้จะเป็นเวลาพักผ่อนก็ตาม
“เชิญทางนี้ครับคุณผู้หญิง” ผายมือไปยังลิฟต์ เธอรีบเดินตามไปเพื่อหนีจากสายตาสงสัยของพนักงานในบริษัท เมื่อลับร่างบางเหล่าขาเม้าก็รีบเข้ากลุ่มพูดคุยทันที จะมีก็แต่ประชาสัมพันธ์สาวที่อยากจะร้องไห้ ไม่รู้ต่อจากนี้หน้าที่การงานจะเป็นอย่างไร ดันไปมีเรื่องกับภรรยาของท่านรองประธานเสียได้
ใครจะรู้ว่าเขามีเมียกันเล่า ผู้หญิงมาหาไม่เว้นวันขนาดนี้ คิดแล้วก็กลุ้ม
ขึ้นมายังด้านบนของอาคาร ทั้งชั้นเป็นของระดับผู้บริหารมีเพียงสามห้องต่อชั้นเท่านั้น เธอโค้งศีรษะขอบคุณคนสนิทของโปรดปรานแล้วไปยืนหน้าประตูของห้องทำงานสามี หล่อนไม่อยากเข้าไปแต่ทำอะไรไม่ได้ อาหารก็ต้องเอามาให้ ถ้าหนีกลับก่อนต้องโดนคุณปริมกมลดุแน่
“เชิญเลยค่ะ” เลขานุการที่ค่อนข้างภูมิฐานผายมือให้หล่อนเข้าไปข้างใน และเมื่อประตูเปิดออกก็อยากปิดลงเสียเดี๋ยวนั้น บรรยากาศค่อนข้างมาคุและคนทั้งสองหันมามองหล่อนเป็นตาเดียว
“นังนี่ใครอีกคะ ผู้หญิงคนที่เท่าไหร่ของคุณ” นางแบบหน้าสวยโวยวายเสียงดัง เธอมาหาเขาแต่โดนกันเอาไว้จากเลขาหน้าห้อง ชายหนุ่มไม่ติดต่อมานานจนต้องบุกมาหาเองถึงบริษัท
ซึ่งหล่อนกำลังจะโดนตัดขาด ใครเล่าจะยอมเป็นคนถูกทิ้ง กว่าจะเข้าถึงตัวปลาบปลื้มได้ไม่ใช่ง่ายสักนิด หวังอยากยืนเคียงข้างเป็นคุณผู้หญิงของหทัยวิมล กรุ๊ป แต่ตำแหน่งนั้นก็ได้มายากเหลือเกิน
“เอ่อ ฉัน..” ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร เธอส่งสายตาไปหาคนเป็นสามีเพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะทั้งห้องก็รู้จักเพียงเขา
“ทำไม ไม่กล้าบอกเหรอ ฉันจะบอกให้ว่าเธอก็เป็นแค่หนึ่งในคู่นอนของเขานั่นแหละ ถ้าเขาเบื่อเมื่อไหร่ก็เขี่ยทิ้งเอง อย่าหวังสูง..” ร่างแบบบางก้าวเข้ามาหา หวังหาเรื่องเต็มที่แต่กลับถูกคว้าแขนไว้ก่อนจะถึงตัวของปาราริน
“เขาเป็นภรรยาของผม” อึ้งทั้งคนฟังและคนพูด แก้มนวลแดงปลั่งอย่างเขินอาย ใจเต้นตึกตักกับสถานะที่เขาบอกนางแบบผู้นั้น
คำว่าภรรยาส่งผลต่อจิตใจของหล่อนขนาดนี้เลยเหรอ
ปลาบปลื้มไม่รู้เหตุใดจึงบอกออกไปเช่นนั้นทั้งที่อยากปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับแท้ๆ แต่เขาเบื่อกับการที่เธอจะมาทวงถามถึงสถานะ การหลับนอนด้วยก็เพราะพึงพอใจทั้งสองฝ่าย แค่เขาซื้อกระเป๋าให้หนึ่งครั้ง ซื้อสร้อยให้ในวันเกิด เธอก็คิดฝันไปไกล
ซึ่งเขาบอกชัดเจนว่าเป็นแค่คู่นอน ไม่มีสถานะอื่นมอบให้
ฝ่ายคนเป็นภรรยาก็เผยอปากค้าง นึกว่าชายหนุ่มต้องการปกปิดเรื่องนี้เสียอีก อยู่บ้านเขาก็เมินหล่อน ใครจะคิดว่าตอนนี้มาประกาศให้บุคคลที่สามได้ทราบ
“เมีย เธอเป็นเมียคุณเหรอ ถ้างั้นฉันก็เป็นสิ” โวยวายทันที แต่เขาตอกกลับจนนางแบบสาวพูดไม่ออก
“ไม่เหมือน ผมจดทะเบียนสมรสกับเธอ แต่คุณไม่ใช่ รู้อย่างนี้แล้วก็ช่วยกลับไปด้วย” ปล่อยแขนเล็กแล้วเดินไปโอบปารารินเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ จนร่างบางถึงกับอึ้งไม่กล้าพูดหรือขยับไปไหน ยอมยืนเป็นหินอยู่เช่นนั้นจนหญิงอีกคนเดินจากไป
เธอสะดุ้งเมื่อประตูถูกปิดเสียงดัง ก่อนที่เขาจะปล่อยให้เป็นอิสระ เดินกลับไปนั่งยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“คุณแม่ให้ฉันเอาข้าวเที่ยงมาให้คุณค่ะ” เดินเข้าไปใกล้แล้วมองซ้ายขวาไม่รู้จะเอาถุงผ้าไว้ตรงไหน
ห้องทำงานของรองประธานค่อนข้างกว้าง เน้นแต่งโทนสีขาวและกรุด้วยกระจกมองเห็นวิวด้านนอก โต๊ะทำงานเป็นรูปทรงครึ่งวงกลมเว้า ด้านซ้ายวางคอมพิวเตอร์ มีเอกสารวางกองไว้ตรงหน้าแค่เห็นก็ปวดหัวแทนแล้ว ไม่รู้แต่ละวันอ่านเอกสารกี่ฉบับ
ตรงข้ามกันมีโซนรับแขก โซฟากว้างและโต๊ะขนาดเล็ก ทั้งยังมีห้องน้ำส่วนตัวและมีตู้เกมไว้เล่นคลายเครียดอีกต่างหาก
“วางไว้ตรงนั้นแหละ” ชี้ไปยังโต๊ะรับแขก หล่อนมองตามแล้วหันมาตอบรับ
“ค่ะ” ทำตามไม่หืออือหรือถามอะไรสักคำถึงจะสงสัยว่าหญิงคนนั้นเป็นใคร แต่ฟังจากที่อีกฝ่ายพูดคงหนีไม่พ้นของเล่นชั่วคราว เหมือนกับที่หล่อนเป็นตอนนี้
เมื่อทำหน้าที่เรียบร้อยก็คิดจะกลับบ้าน การอยู่ห้องทำงานของเขาไม่เป็นเรื่องที่ดีเท่าไหร่
“เดี๋ยวก่อน” พอหมุนกายจะออกจากห้อง ก็ถูกรั้งเอาไว้จนต้องหันกลับมาเผชิญหน้า
“เรื่องเมื่อกี้ฉันพูดไปตามสถานการณ์ แต่ระหว่างเรายังเป็นเหมือนเดิม ถ้าเด็กเกิดมาเธอต้องออกจากบ้านฉัน” นั่นสินะ...เผลอคิดเข้าข้างตัวเองทำไมล่ะแก้มใส
ระหว่างเธอกับเขาก็แค่ความผิดพลาด เด็กที่อยู่ในท้องไม่ได้เกิดจากความตั้งใจสักหน่อย แถมชายหนุ่มยังไม่เชื่อว่าเป็นลูกของตน คิดจะไล่เธอออกจากบ้านทุกเวลา ทว่าต่อจากนี้อาจยากหน่อยเพราะมีใบทะเบียนสมรสกันไว้อีกชั้น
“ค่ะ” แล้วจะให้เธอพูดอะไรได้อีก เขาวางแผนทุกอย่างไว้แล้ว
“อ้อ แล้วอย่าคิดว่าใบทะเบียนสมรสจะช่วยอะไรเธอได้ ถ้าฉันอยากหย่าเธอต้องหย่า” บอกอย่างเอาแต่ใจ เขาไม่มีทางอยู่กับเธอไปตลอดแน่ ถึงจะเป็นคำสั่งของคุณปริมกมลก็ตาม
ผู้หญิงร้อยเล่ห์มากมารยาแบบนี้ ใครจะรักลง...ไม่ใช่เขาล่ะ
“พี่โปรด ทำไมพี่ไปบอกคนอื่นว่าผมแต่งงานแล้ว” ขณะที่กำลังจะกลับบ้านเจอพนักงานคนไหนก็มองเขาแล้วส่งยิ้มให้ แถมยังแสดงความยินดีกับการแต่งงานอีกต่างหาก ทำให้ปลาบปลื้มถึงกับงุนงง ก่อนที่เลขาหน้าห้องจะไขความกระจ่างว่าพี่ชายป่าวประกาศเรื่องภรรยาของเขาไปทั่วบริษัท
มีหรือคนน้องจะอยู่เฉย หลังออกจากอาคารของบริษัทก็ขับมายังคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กัน กดชั้นที่พักอาศัยของโปรดปรานแล้วเข้ามาหาเรื่องเต็มที่
“หรือจะให้ฉันบอกว่าเมียนายเป็นภรรยาของคุณชาย” มาวันไหนก็เจอพี่ชายจิบไวน์อยู่โซฟากลางห้องตลอด จนกลายเป็นภาพจำไปแล้ว
“คุณชาย คุณชายไหน” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน พยายามนึกว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร
“หม่อมหลวงราเมศ” ที่แท้ก็หุ้นส่วนของบริษัทนั่นเอง เขาไม่ค่อยได้พูดคุยกับอีกฝ่ายเท่าไหร่ ด้วยท่าทีถือตัวนั้นแค่มองก็ไม่ชอบแล้ว เป็นแค่หุ้นส่วนทางธุรกิจก็พอ อย่าเป็นคู่แข่งทางหัวใจเลย
ไม่สิ เขาไม่เคยชอบผู้หญิงคนเดียวกับคุณชายคนนั้นสักหน่อย
“แล้วเขาเกี่ยวอะไรด้วย” นั่งลงเยื้องกัน หยิบไวน์มาเทใส่แก้วเปล่าอีกใบโดยไม่เอ่ยขอสักคำ โปรดปรานมองอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่คร้านจะเอ่ยเพราะอย่างไรก็น้องชาย แบ่งปันไม่เสียหาย
“เหมือนคุณชายคนนั้นจะชอบเมียนาย ปกติไม่เห็นชอบยุ่งเรื่องคนอื่น แต่วันนี้การ์ดจะหิ้วปีกเมียนายออกไปข้างนอก คุณชายก็เข้าไปช่วยเหมือนพระเอกขี่ม้าขาว ฉันเห็นแววตาของเมียนายชื่นชมเขาพอสมควรเลยล่ะ” แอบหย่อนระเบิดไว้แล้วดื่มไวน์จนหมดแก้ว
คนที่ได้ยินก็ร้อนรุ่มในทรวง วางแก้วไวน์ลงทันทีไม่ดื่มต่อให้หมด ก่อนลุกยืนแล้วออกจากเพนท์เฮาส์สุดหรู โดยมีสายตาคมของประธานบริษัทมองตาม
ดูเหมือนน้องชายเขาเองก็ถูกใจหญิงผู้นั้นอยู่บ้าง เพียงแค่ปฏิเสธหัวใจตัวเองเพราะไม่ชอบถูกบังคับหรือบงการ...