บทที่ 2
เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินลงบันไดกลับลงมาข้างล่าง เดินเข้าไปหยุดอยู่ในครัวซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อจะผสมน้ำมะนาวเย็นดื่ม วันนี้เธอได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันเบาๆกับเพื่อนที่เล่นเทนนิสด้วยกันมาแล้ว ยิ่งกว่านั้น เมื่อได้กลับเข้ามาถึงบ้านที่เงียบสงบ มันก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการพักผ่อน และอ่านบทละครที่คณะละครสมัครเล่นจะจัดแสดงขึ้น
ถึงแม้ว่าสกุลคาร์เรลจะมิได้เกี่ยวข้องทางด้านธุรกิจกับชุมชนแห่งนี้อีกต่อไปแล้วก็ตาม แต่รีเบคก้า คาร์เรล ก็มิได้ละทิ้งการดำรงตำแหน่งประธานให้แก่ชาวชุมชนในละแวกอื่น อลิซาเบธมีความรู้สึกว่า หลังจากที่บิดาของสามีจากไป รีเบคก้าก็ยิ่งพร้อมจะทำตัวให้เป็นจุดศูนย์รวมแห่งความสนใจของผู้คนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแบ่งความเด่นนั้นให้กับสามีอีกด้วย ซึ่งก็ออกจะเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวอยู่ ทั้งนี้เพราะอลิซาเบธรู้ดีมาตั้งแต่แรกว่า รีเบคก้านั้น เคยเป็นผู้หญิงที่อุทิศตนเพื่อครอบครัวมากเพียงใด และเป็นเยี่ยงอย่างของภรรยาที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่ง เป็นทั้งเพื่อนคู่คิดและเพื่อนชีวิตของสามีมาตลอด ดูเหมือนบุคคลทั้งสองจะไม่เคยมีความเห็นขัดแย้งกันมาก่อนเลยก็ว่าได้
รีเบคก้านั้นสามารถที่จะทำตัวเป็นผู้นำของชุมชนได้อย่างน่ามหัศจรรย์ใจ และอลิซาเบธก็เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากแม่สามีนั่นเอง ทุกวันนี้เธอดำรงตำแหน่งกรรมการผู้มีความสามารถในวงสังคมแห่งชุมชนนี้ เธอถือว่าตัวเองเป็นคาร์เรลคนหนึ่ง และมีผู้ติดสอยห้อยตามไม่น้อยไปกว่ามารดาของสามี ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความหมายขึ้นจนกระทั่งในระยะหลังๆแทบจะไม่มีเวลาว่างเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมังที่ทำให้เธอไม่ได้ถวิลหาอาวรณ์กับการจากไปของสามีเท่าใดนัก ทั้งที่คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นเช่นนั้น กับอีกประการหนึ่งคือรีเบคก้า ซึ่งมีส่วนช่วยมิให้เธอต้องเศร้าโศกเสียใจมากจนเกินไปนัก แต่จริงๆแล้ว อลิซาเบธตกอยู่ในความงงงันกับการสูญเสียสามีไปอย่างไม่คาดฝันมากกว่า และหลังจากนั้นก็ยังมีเอมี่ตามมา และเป็นอีกภาระหนึ่งของเธอมาตราบเท่าทุกวันนี้
เมื่อเดินเลยไปในห้องนั่งเล่น อลิซาเบธก็ชะงักไปเป็นครู่ และแล้ว รอยยิ้มก็ฉาบขึ้นบนใบหน้า เดินตรงไปยังเปียโนที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ไล้นิ้วไปตามคีย์สีงาช้าง นึกถึงการต้านทานของตัวเองเมื่อครั้งที่ต้องฝึกอยู่กับบทเรียนซ้ำๆซากๆเช่นลูกสาวในยามนี้ เอมี่เองก็ดูจะมีความรู้สึกโน้มน้อมในเรื่องเปียโนอยู่มาก และมีความสุขที่จะได้ฟังเพลงง่ายๆที่แม่เล่น แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยผลักดันให้เอมี่ต้องเรียนวิชานี้
เธอวางแก้วน้ำมะนาวลง และเริ่มไล้นิ้วไปตามคีย์ด้วยท่วงทำนองเพลงที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำ มันเป็นความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาสู่สมองอย่างไม่หยุดยั้ง ก็เพราะเสียงเพลงจากเปียโนนี่เองที่เป็นสื่อให้เธอกับเจอเรมี่ได้รู้จักกัน ครั้งกระนั้น เขามาพร้อมกับพ่อแม่ และได้รับการแนะนำให้รู้จักกันในงานเลี้ยงรับรอง ซึ่งเป็นผลอันต่อเนื่องไปถึงสายสัมพันธ์ในเวลาต่อมา
มันมิได้เป็นเพราะอลิซาเบธไม่รู้จักว่าเขาเป็นใครในตอนเริ่มแรก ยังสงสัยด้วยซ้ำว่าจะมีใครบ้างในชุมชนแห่งนี้ที่จะไม่รู้จัก เจอเรมี่ คาร์เรล ผู้คนในละแวกนั้นต่างก็หมายมั่นปั้นมือกันไว้ว่า เจอเรมี่จะต้องแต่งงานกับลูกสาวชาวบ้านคนใดคนหนึ่ง ตอนที่เธอมองเห็นแววแห่งความพึงใจที่ฉายเป็นประกายขึ้นในดวงตาของเขานั้น อลิ-ซาเบธก็บอกตัวเองว่า เธอต่างหากที่มีความหวังมากกว่าใคร ถ้าเธอทิ้งไพ่ได้ถูก ก็หมายความว่า เธอจะได้แต่งงานกับผู้ชายคนที่เป็นที่ปองปรารถนาของทุกคนแน่ และแล้ว มันก็เป็นเช่นที่เธอคาดไว้ รู้สึกว่ามันช่างเป็นความง่ายดายอย่างเหลือเชื่อจริงๆ เมื่อเธอบอกตัวเองว่า ได้ตกหลุมรักเจอเรมี่เข้าแล้ว
แมรี่ เอลเลน ซิมมอนส์ น้าสาวซึ่งเลี้ยงอลิซาเบธมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เมื่อพ่อและแม่ของเธอเสียชีวิตลง ออกจะไม่เห็นด้วยกับการสมรสในครั้งนั้น ได้แต่ย้ำยืนยันว่าในวัยเพียง 17 มันเป็นไปไม่ได้ที่อลิซาเบธจะเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปผูกพันอยู่กับตระกูลคาร์เรล หวั่นเกรงไปว่าหลานสาวของตนจะชื่นชมกับฐานะอันมั่งคั่งของเจอเร-มี่ คาร์เรลมากกว่าที่จะรักใคร่ไยดีกันอย่างจริงใจ แต่ความไม่แน่ใจนั้นก็ไม่อาจจะพิสูจน์ในข้อหนึ่งข้อใดได้ทั้งสิ้น ซึ่งถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว อลิซาเบธมิได้คิดถึงเรื่องอื่นใดเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่อมาถึงนาทีนี้
น่าพิศวงนัก ที่นิ้วมือของเธอไล้ไปบนคีย์ด้วยท่วงทำนองเพลงช้าๆ อ่อนหวาน ทำไมนะ เธอจึงได้หวนรำลึกนึกไปถึงเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นและผ่านไปหลายปีแล้ว? เธอไม่เคยถามตัวเองมาก่อนเลยด้วยซ้ำว่า จริงๆแล้วเธอรักเจอเรมี่อย่างแท้จริงหรือไม่ มันเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้เลย
ความละเหี่ยบังเกิดขึ้นในหัวใจอย่างหาเหตุผลมิได้ นิ้วที่เลื่อนไปตามคีย์เพิ่มความแรงขึ้น ออกจะรู้สึกโมโหตัวเองอยู่ ที่มาเสียเวลาเหม่อลอยอยู่กับความฝันอันไร้สาระ ทั้งๆที่น่าจะเอาเวลาไปศึกษาบทละครที่จะเล่นมากกว่า
เธอกระเถิบร่างไปจนสุดม้ารองนั่งหน้าเปียโน เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมะนาว เมื่อได้มันมาไว้ในมือ และพร้อมที่จะยืนขึ้นนั้น เธอก็รู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว เมื่อเหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งกำลังยืนพิงกรอบประตูทางเข้าสู่ห้องนั่งเล่นอยู่
เธอรู้สึกหนาวเย็นวาบไปทั่วกระดูกไขสันหลัง เมื่อเห็นสภาพเครื่องแต่งกายและเนื้อตัวที่มอมแมมของผู้ชายคนนั้น เสื้อเชิ้ตเก่าๆสีฟ้าชุ่มเหงื่อที่กระดุมคอเสื้อถูกปลดออกเผยให้เห็นช่วงลำคอที่เป็นสีน้ำตาลไหม้ สะโพกเพรียวๆซึ่งปกปิดไว้ด้วยกางเกงขายาวสีสันของมันเหมือนจะเป็นสีน้ำเข้มมาก่อน ทั้งนี้เนื่องจากมีคราบฝุ่นเกาะอยู่เต็ม หนวดเคราที่ไม่ได้รับการโกนออกให้เกลี้ยงเกลาขึ้นครึ้มอยู่ทั่วหน้า เสื้อกันลมห้อยอยู่บนไหล่ข้างหนึ่ง และข้างเท้าคือกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆ เรือนผมสีน้ำตาลค่อนข้างดกถูกเสยขึ้นจากหน้าผากอย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาคู่สีน้ำตาลจับจ้องอยู่กับเรือนร่างของอลิซาเบธอย่างคร้านๆ
“คุณเข้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ?” เธอถามออกไปอย่างตกใจ และทันใดดูเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า บ้านหลังนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากผู้คนในละแวกเสียอย่างเหลือเกิน
“คอนเสิร์ตจบแล้วหรือนี่?” น้ำเสียงลึกๆพร่าๆนั้นกลับถามไปเสียอีกทางหนึ่ง
อลิซาเบธผุดลุกขึ้นยืนเต็มตัว พยายามปรับน้ำเสียงที่สั่นสะท้านให้คงที่ เย็นชาและเฉียบขาดขึ้น
“คุณไม่มีสิทธิ์จะเหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้นะ ฉันขอแนะนำให้คุณรีบๆออกไปเสียดีกว่า ก่อนที่ฉันจะเรียกเจ้าหน้าที่มาจัดการกับคุณ” เธอมองเห็นไรฟันขาวๆปรากฏขึ้นในรอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ในที่เดิม “ถ้าคุณต้องการจะมาขอรับบริจาคละก้อ ไปข้างหน้าก่อนเถอะ เดินไปตามถนนนี่สักครึ่งไมล์ก็ถึงทางหลวงแล้ว ฉันให้เวลาคุณ 5 นาทีให้ออกจากบ้านนี้เสีย ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกตำรวจ”
พร้อมๆกับคำพูดข่มขู่ที่เธอเดินตรงไปยังเครื่องรับโทรศัพท์พร้อมกับยกหูขึ้น ทั้งๆที่ใจคอยังหวั่นไหวอยู่ว่า ในนาทีใดนาทีหนึ่ง เขาจะต้องชักปืนหรือมีดออกมาขู่ขวัญเธอแน่
“ผมไม่ได้มาขอลูกวัวอ้วนๆหรอกน่า” เขาลากเสียง “เพียงแต่คิดว่าจะมาขออาหารกินสักมื้อหนึ่งเท่านั้นละ”
“ฉันว่าคุณออกไปเสียดีกว่า” เธอเริ่มลงมือหมุนโทรศัพท์ ไม่สนใจในวาจาของเขา
“คุณนี่ชอบทำอะไรโง่ๆเสียจริงๆนะ พี่สาวน้อยๆ มันก็น่าสนใจอยู่หรอกที่จะได้เห็นพวกคาร์เรลโกรธจนหน้าแดงเสียบ้าง แม้ว่าจะเป็นคนที่ได้ใช้สกุลคาร์เรลเพราะการแต่งงานก็ตามทีเถอะ”
อลิซาเบธเย็นเยือกไปทั้งตัวในนาทีนั้น ดวงตาคู่สีเขียวขาบตวัดมองไปทางคนแปลกหน้าอีกครั้ง ผู้ชายคนที่ยืนตัวตรงอยู่กับกรอบประตูโค้งด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง มิได้หวั่นไหวในถ้อยคำขู่ของเธอเลยแม้แต่น้อย บอกตัวเองว่าเธอไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แต่จากคำพูดก็รู้ได้ว่าเขาจะต้องรู้จักเธออย่างแน่นอน หรือมิฉะนั้นก็ต้องรู้จักบทบาทของเธอที่แสดงอยู่ในฐานะของสะใภ้สกุลคาร์เรล