บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

อลิซาเบธ คาร์เรล ก้าวผ่านประตูบ้านเข้ามา โดยมีแร็กเกตเทนนิสเหน็บอยู่ใต้แขน มันเป็นวันแห่งเดือนสิงหาคมที่อากาศร้อนอย่างยิ่ง ความร้อนผนวกกับการที่ไปออกแรงมาทำให้เธอรู้สึกอ่อนเพลียระเหี่ยระโหยเหลือจะกล่าว ต้องยืนพิงร่างอยู่กับกรอบประตูเป็นครู่

“อลิซาเบธ...นั่นเธอใช่ไหม?” เสียงที่บอกถึงความมีอำนาจของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้น

เธอปัดปอยผมสีดำสนิทที่ปรกอยู่บนนวลแก้มออกพร้อมกับยืดร่างขึ้น วี่แววแห่งความอ่อนเพลียเลือนหายไปจากใบหน้า เท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบไว้พาตัวเดินลึกเข้าไปในห้องโถงที่ปูพื้นด้วยกระเบื้อง

“ใช่ค่ะ รีเบคก้า” เธอร้องตอบ ไม่สนใจที่จะชำเลืองแลไปทางกระจกเงาโบราณบานใหญ่ ที่ประดับอยู่บนผนังห้องโถง

มีประตูทรงโค้งที่เปิดเข้าสู่ห้องนั่งเล่น เธอหยุดอยู่เบื้องทางเข้า ดวงตาคู่สีเขียวขาบจับอยู่ที่เรือนร่างสง่างามสูงระหงของสตรีผู้ซึ่งอยู่ในห้องนั้น เรือนผมสีเทาเงินซึ่งได้รับการตบแต่งอย่างประณีตซ่อนอยู่ใต้ปีกหมวกสำหรับฤดูร้อน ซึ่งมีช่อดอกไม้สีฟ้าประดับไว้ ซึ่งเข้ากันกับชุดเครื่องแต่งกายซึ่งเป็นสีฟ้าอ่อนแบบสมสมัย เธอเป็นสตรีในวัยสูงอายุที่แฝงความงามและความสง่าไว้ในทุกท่วงท่า เครื่องประดับที่ถูกนำมาใช้กับเครื่องแต่งกายชุดนี้ มีเพียงเข็มกลัดพลอยสีม่วงและไพลิน กระเป๋าถือสีนวลวางอยู่บนโต๊ะไม้โอ๊ค เข้าชุดกันกับรองเท้า

“ดิฉันคิดว่าป่านนี้คุณแม่จะออกไปทานอาหารกลางวันแล้วเสียอีก” อลิซาเบธเอ่ยขึ้น

“มันก็ควรจะไปแล้วละ” รีเบคก้า คาร์เรลตอบ น้ำเสียงกังวานนั้นแฝงแววขัดเคืองอยู่ “ฉันสั่งให้ลูกสาวเธอขึ้นไปแต่งตัวที่ห้องเพื่อที่จะได้ไปให้ทันชั่วโมงเรียนดนตรีตั้งชั่วโมงแล้ว ป่านนี้ยังไม่ลงมาเลย ขึ้นไปดูหน่อยสิว่าทำไมถึงได้ช้านัก”

อลิซาเบธยิ้มอ่อนๆอย่างเอาใจแม่สามี

“ได้ค่ะ”

บันไดที่ทอดขึ้นสู่ชั้นบนของตัวบ้านอยู่ในห้องโถงด้านนอก ฝีเท้าของเธอแผ่วเบาด้วยสวมรองเท้าพื้นยางไว้ขณะที่ก้าวขึ้นบันได ซึ่งถูกขัดถูไว้จนเงาวับด้วยเวลาแรมปีที่ผ่านไป เมื่อมาถึงประตูห้องส่วนตัวของลูกสาว อลิ-ซาเบธก็ยกมือขึ้นเคาะเบาๆ

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก มรรยาทในการที่เธอมิได้รีบร้อนเปิดประตูห้องของเอมี่เข้าไปในทันทีนั้น ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะความเกรงอกเกรงใจแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า บรรยากาศอันสงัดเงียบของตัวบ้านกระมังที่ทำให้เธอต้องรักษามรรยาทนั้นไว้ หลังจากที่ได้ยินเสียงตอบรับงึมงำมาจากภายในห้องแล้ว เธอจึงได้ก้าวเข้าไป

ดวงตาของเธอฉายแสงแห่งความเข้าใจ เมื่อมองเห็นท่าทางสะบัดอย่างขึ้งโกรธของเด็กสาวที่กำลังทอดสายตามองเหม่อออกไปทางหน้าต่าง ร่างที่ยืนตัวตรงนั้นบอกให้รู้ว่าพร้อมที่จะต่อสู้

“สวัสดีจ้ะ เอมี่”

ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำหันขวับมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของมารดา ดวงตาคู่สีน้ำตาลวาววับขึ้นด้วยความไม่พอใจ

“แม่คะ มันจำเป็นอะไรนักหนากันที่หนูจะต้องไปเรียนดนตรีวันนี้ด้วย? จะให้หนูหยุดพักเสียสักวันไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือคะ? ทำอย่างนี้ก็หมายความว่า ต่อให้หนูเจ็บจะตายก็ต้องไปเรียนสินะคะ”

เธออยากจะออกปากอนุญาตให้ลูกสาวหยุดพักเรียนนัก แต่อลิซาเบธก็ยับยั้งไว้ เดินลึกเข้ามาในห้อง เวลานี้ลูกสาวของเธอพร้อมที่จะต่อสู้อยู่แล้วโดยไม่จำเป็นจะต้องได้รับแรงสนับสนุนจากเธออีกคนด้วย

“แม่คิดว่าวันนี้หนูควรจะไปเรียนเสียนะจ๊ะ เอาไว้วันหลังค่อยหยุดดีกว่า ตั้งใจว่าจะทำอะไรก็เก็บไว้ไปทำวันนั้นอย่าเพิ่งทำวันนี้เลย” เธอให้เหตุผล

“หนูก็นึกแล้ว” เอมี่พูดอย่างไม่เกรงใจ

“ตอนนี้คุณย่ากำลังคอยอยู่ในห้องนั่งเล่นนะลูก”

“หนูรู้แล้วละ” สาวน้อยกัดฟันตอบ “หนูละเกลียดไอ้เรื่องที่จะต้องเรียนดนตรีจริงๆเลย ลองคิดดูสิคะ ยายมิสซิสแบงค์สน่ะไม่ต้องทำอะไรแล้ว ได้แต่สั่งให้หนูซ้อมซ้ำๆซากๆอยู่แค่เพลงเดียวนั่นแหละ เล่นแล้วก็เล่นอีก แล้วไอ้พัดลมในบ้านแกก็เสียงดั๊งดัง ร้อนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

“เอ...ดูเหมือนแม่จะจำได้ว่า หนูเคยบอกแม่ว่าชอบเรียนเปียโนนี่นา” อลิซาเบธพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล อดเห็นขันในน้ำเสียงตะบึงตะบอนของลูกสาวไม่ได้

“หนูชอบเล่นเปียโนก็จริง แต่ไม่เคยพิศวาสไอ้บทเรียนที่ต้องซ้อมซ้ำๆซากๆนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เห็นเข้าท่าตรงไหนนี่”

“ถ้าเราอยากจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ดี เราก็จำเป็นจะต้องทำสิ่งอื่นประกอบด้วยนะลูก”

“โธ่...แม่” เอมี่ถอนหายใจ

น้ำเสียงที่คลายความขุ่นขึ้งนั้นบอกให้รู้ว่า บัดนี้ลูกสาวของเธอพร้อมที่จะยอมทำตามแล้ว อลิซาเบธจึงรีบยิ้มให้อย่างเอาใจ แววในดวงตาฉายแสงแห่งความรักความเข้าใจอย่างที่สุดเมื่อเห็นเอมี่คอตก

“เอาละ แม่ว่าตอนนี้หนูควรจะหยิบสมุดโน้ตขึ้นแล้วรีบลงไปข้างล่างได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณย่าก็ไปไม่ทันนัดอาหารกลางวันแน่” เธอออกคำสั่งด้วยเสียงอ่อนโยน

“นั่นสิคะ ถ้าหนูไปเร็วเท่าไหร่ก็คงจะได้กลับเร็วเท่านั้น” เอมี่ทอดถอนใจ ดวงตาคู่กลมโตเปล่งแววหยันเยาะอย่างเต็มที่

“ใช่ เราต้องกระตือรือร้นหน่อยไงล่ะจ๊ะ” อลิซาเบธเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ โน้มร่างประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของลูกสาวอย่างเอาใจ ก่อนที่จะพาเดินออกไปยังประตู

เธอมิได้เดินตามเอมี่ลงไปชั้นล่างด้วย เพียงแต่ยืนอยู่บนระเบียงบันไดใกล้กับประตูห้องส่วนตัว จับตามองตามร่างลูกสาวที่ก้าวลงบันไดยังชั้นล่าง เอมี่เป็นเด็กสาวที่หน้าตาสวยมากและมีเค้าว่าจะต้องเติบโตเป็นสาวสวยทีเดียว โดยมิได้ตั้งใจเลยที่อลิซาเบธหวนคิดไปถึงว่า เจ้าของร่างน้อยๆแสนสวยผู้นี้ คือมนุษย์คนหนึ่งที่ถือกำเนิดมาจากเลือดเนื้อในกายของตัวเอง เธอได้พยายามจะลืมไปนานแล้วว่า พ่อของเอมี่ได้มีส่วนในการสร้างเลือดเนื้อเชื้อไขคนนี้ขึ้นมาด้วย

เมื่ออลิซาเบธก้าวเข้าไปในห้องส่วนตัว รูปภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งก็เหมือนจะรื้อฟื้นความทรงจำของเธอขึ้น เพียงแต่ว่า เธอกลับมีความรู้สึกคล้ายกับว่า เจ้าของรูปนั้น ช่างเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเธอยิ่งนัก ชีวิตสมรสระหว่างเขากับเธอได้สิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเขาต้องเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งในตอนนั้นเธอยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังตั้งครรภ์เอมี่อยู่ แทบจะไม่ทันรู้สึกด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เพราะชีวิตคู่ระหว่างเธอกับเขาเป็นชีวิตที่อยู่ในช่วงเวลาสั้นมาก

แต่มันก็เป็นความจริงอย่างที่สุด ที่เธอได้แต่งงานกับเจอเรมี่ คาร์เรล ไม่เช่นนั้น เธอก็คงไม่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านของเขาจนถึงวันนี้แน่ และเอมี่ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับพ่ออย่างที่สุด โดยเฉพาะเรือนผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นสีเดียวกับดวงตา แต่อุปนิสัยใจคอและบุคลิกลักษณะแตกต่างกันอย่างที่สุด เจอเรมี่ ซึ่งมิใช่ลูกที่ได้รับการพะเน้าพะนอเอาใจจากมารดานัก ได้ยินยอมพร้อมใจที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ของทางตระกูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องที่เกี่ยวกับชุมชน สังคม งานด้านธุรกิจ และความเป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่ออลิซาเบธแต่งงานกับเขานั้น เขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งผู้บริหาร สำนักงานกฎหมายคาร์เรล ซึ่งเป็นการสืบทอดตำแหน่งจากบิดาอยู่แล้ว เขาไม่เคยปฏิเสธความผูกพันทั้งในหน้าที่และทางส่วนตัวกับสังคมที่ข้องเกี่ยวอยู่เช่นที่เอมี่กำลังแสดงออกอยู่ในยามนี้เลยแม้แต่ครั้งไม่เคยสำแดงปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้นมีแต่ยินดีที่จะรับ

เธอเบือนหน้าหนีเสียจากรูปภาพนั้น และอลิซาเบธก็มองเห็นภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาบานใหญ่ ซึ่งติดตั้งอยู่ตรงมุมห้องโดยมีกรอบไม้โอ๊คเป็นเครื่องประดับ กางเกงกีฬาสีขาวขาสั้น ตัดกับผิวสีน้ำตาลอ่อนเนียนละมุนของช่วงขาที่เรียวงาม สะโพกกลมมน ช่วงเอวที่คอดกิ่วเรื่อยขึ้นมาจนถึงเนินสล้าง ภาพสะท้อนนั้นไม่จำเป็นจะต้องเน้นก็บอกได้ว่า เธอคือผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง แทบจะมองไม่เห็นวัยที่ผ่านไป ทั้งๆที่มีลูกสาวโตถึง 8 ขวบแล้วก็ตาม

ขณะที่เธอเบือนร่างจากหน้ากระจกเพื่อที่จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดเทนนิสนั้น อลิซาเบธก็อดคิดไม่ได้ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่ว่า ความดื้อดึงของเอมี่นั้นคือนิสัยที่รับมาจากความเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคงของผู้เป็นบิดาและจากตัวเธอเองด้วย เพราะถึงอย่างไร เธอก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้เอมี่ทำอะไรในสิ่งที่ไม่อยากทำได้ การต่อต้านของลูกสาวดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นในระยะช่วงปีหลังๆนี้ และอลิซาเบธก็ไม่แน่ใจนัก ถ้าจะสรุปว่า การที่เอมี่เป็นเช่นนี้ คือผลที่เนื่องมาจากการที่บ้านขาดผู้ชายซึ่งจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำ

ปู่ของเอมี่ คือบิดาของเจอเรมี่นั้น ได้ถึงแก่กรรมอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยโรคหัวใจ เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา และเขาเองก็ไม่ใคร่จะได้ใช้เวลาหรือมีความสนิทสนมกับเอมี่เท่าใดนัก แม้ว่าจะอาศัยอยู่ภายใต้หลังคาบ้านเดียวกันก็ตาม และเอมี่ก็ไม่เคยแสดงความซาบซึ้งในตัวปู่เท่าใดเลย มันจึงเป็นความยากลำบากอยู่ ที่เธอจะวิเคราะห์ให้ได้ว่าความคิดอ่านของเอมี่เป็นอย่างไร

เธอยืนลังเลอยู่หน้าประตูตู้เสื้อผ้าเป็นครู่ ไม่คิดอยากจะหยิบเสื้อกระโปรงชุดออกมาสวม จึงเอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้าฝ้ายแบบอยู่กับบ้านออกมาแทน มันเป็นชุดหลวมๆที่เหมาะกับอากาศร้อนๆเช่นนี้มากกว่า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel