บทที่ 3
“คุณเป็นใครกัน?” เธอถามเสียงเข้ม มือยังกำหูโทรศัพท์แน่น
“เวลาที่ผ่านไปนี่มันเปลี่ยนผมไปมากมายนักเชียวหรือ?” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงเยาะ “แต่สำหรับผมน่ะ ไม่ว่าจะเห็นคุณที่ไหนก็จะต้องจำได้เสมอ ผมชอบเสื้อผ้าชุดแม่หม้ายสีเขียวนี่จัง ส่วนเจอเรมี่น่ะเขาต้องชอบสีฟ้าแน่”
หูโทรศัพท์แทบจะหล่นจากมือเมื่อเธออุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาของตัวเองว่า
“เจด?”
“ก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ” เขายืดร่างสูงขึ้นกว่าเดิม “นี่คุณคิดว่าผมตายแล้วหรือไง?”
“เราไม่เคยได้รับข่าวคราวจากคุณเลย..” อลิซาเบธเอ่ยขึ้น แต่แล้วก็อึ้งไป “เจด...พ่อของคุณ...ท่านเป็นโรคหัวใจ...เกือบจะ 2 ปีแล้ว...และท่านก็ตายแล้วด้วย” รู้สึกว่ามันไม่มีทางไหนที่จะพูดได้คล่องปากเอาเสียเลย
“บ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ” เขาเอ่ยขึ้น ขณะที่กวาดตามองไปรอบๆห้อง ก่อนที่จะเบือนกลับมามองใบหน้ารูปไข่ของเธออย่างเห็นใจ “ผมรู้เรื่องพ่อแล้วละ” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด ราวกับคนไร้ความรู้สึก “แม่มีจดหมายไปถึงผมสักปีเห็นจะได้ แต่ตอนนั้นดูเหมือนมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกลับมานี่”
“อ้าว...แล้ว...แล้วคุณกลับมาทำไมล่ะ?” เธอถาม
เขากระเดาะลิ้นอย่างเห็นขัน
“รู้สึกว่ามันออกจะไม่สุภาพนะที่คุณจะมาตั้งคำถามเอากับผมอย่างนี้ ลิซ่า”
“ฉันชื่ออลิซาเบธ” เธอกล่าวแก้ออกไปทันที และเขาก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา
“รู้สึกว่ายังถือตัวอยู่เหมือนเดิมนี่...นะ”
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาเรียกฉันว่าลิซ่า มันฟัง...”
“ธรรมดาไปสินะ แต่ผมคิดว่าคุณเคยใช้มาก่อนนี่” เขาพูดเหมือนจะเตือนความทรงจำ “มันก็เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆหลังจากที่คุณหมั้นพี่ชายผมแล้ว เท่านั้นแหละที่คุณพยายามจะทำตัวเป็นสุภาพสตรีน้อยๆเพื่อจะสร้างความประทับใจให้กับแม่ผม แล้วก็เลยเกิดโมโหโกรธาขึ้นมาเวลาที่ผมเรียกคุณอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ”
“ฉันจำได้หรอก” เธอตวัดเสียงตอบพร้อมกับตวัดสายตาเมินเสียจากดวงตาคู่ที่กำลังจับจ้องมองอยู่
“แล้วนี่แม่ไปไหนล่ะ?”
“ไปร่วมทานอาหารกลางวันในเมือง” อลิซาเบธตอบ
“อ้อ...ก็แน่ละสินะ วันนี้วันพฤหัสฯนี่ใช่ไหม? ผมก็ชักจะลืมๆไปแล้วว่าทุกวันพฤหัสฯ แม่ต้องไปประชุม” รอยยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมฉาบขึ้นบนริมฝีปาก มันทั้งเยาะทั้งดูหมิ่น
“ถ้าคุณอยากจะอาบน้ำอาบท่าละก้อ ห้องข้างบนตรงเชิงบันไดนั่นว่าง เอาข้าวของไปเก็บในห้องนั้นก่อนก็ได้ ในห้องน้ำมีผ้าเช็ดตัวให้พร้อมแล้ว”
สีหน้าของเขามิได้เปลี่ยนเลยจนนิด
“นี่คุณกำลังจะพูดว่าท่าทางของผมตอนนี้มันไม่เหมาะที่จะมายืนอยู่ในห้องนี้ใช่ไหม? เจด คาร์เรลถามเยาะๆ “กว่าจะเดินมาถึงนี่ทั้งร้อนทั้งอาบฝุ่นมาตลอด”
“นี่หมายความว่าคุณเดินมาจากในเมืองยังงั้นรึ?” เธอขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
เขาก้มลงมองรองเท้าที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นจับเขรอะรวมทั้งขากางเกง
“รู้สึกว่าเท้าของผมจะเป็นพาหนะอันเดียวที่มีประโยชน์อย่างที่สุด เพราะแท็กซี่ทั้งเมืองน่าจะคอยวิ่งรับส่งบรรดาพวกคุณหญิงคุณนายเพื่อนๆของแม่ไปรับประทานอาหารกลางวันประจำสัปดาห์กันหมด”
“แต่คุณก็น่าจะรอได้นี่” อลิซาเบธพูดอย่างไม่ตั้งใจ
“ก็เพราะผมมันกระวนกระวายอยากจะรู้ว่าที่โทมัส วูลฟ์พูดไว้มันถูกต้องหรือเปล่าน่ะสิที่เขาบอกว่า คุณไม่สามารถจะกลับไปสู่บ้านได้อีกน่ะ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ผมก็ชักจะรู้สึกแล้วละว่าที่เขาพูดไว้น่ะมันถูกต้องอย่างที่สุด ห้องเก่าของผมตรงหัวบันไดกำลังจะได้รับใช้ผมอีกครั้งอยู่แล้ว ก็เห็นจะต้องขอตัวขึ้นห้องก่อนนะ”
“ตอนนี้มันเป็นห้องของเอมี่” อลิซาเบธรู้สึกยุ่งยากใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนั้น อันที่จริงเขาและเธอก็พบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าจะพูดไปก็น่าจะว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกันก็ได้ ก็แล้วทำไมเขาจะต้องหวังว่าเธอจะกางแขนออกต้อนรับการกลับมาของเขาด้วยเล่า?
“เอมี่?” เจดขึ้นเสียงเป็นเชิงถามพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างสงสัยใคร่รู้
“ลูกสาวฉันเอง” เธอเชิดคางขึ้นอย่างพร้อมจะปกป้อง
อีกครั้งหนึ่งที่แนวปากนั้นขยับขึ้นเป็นรอยคล้ายจะยิ้ม
“เออ...นั่นสินะ” เขาผงกศีรษะ “ผมจำได้ว่าก่อนที่เจอเรมี่จะตายเขาฝากลูกไว้กับคุณคนหนึ่ง ชื่อเอมี่นี่เป็นชื่อตามชื่อของคุณย่าผมนี่”
“ใช่ นั่นแหละชื่อเขา” อลิซาเบธตอบอย่างยอมรับ
“แม่คงชอบมากสินะ แต่...หรือว่าการตั้งชื่อครั้งนี้เกิดจากการแนะนำของแม่อีกล่ะ?”
เธอก็รู้ว่าเขาพูดแดกดันให้ แต่อลิซาเบธแสร้งทำเป็นไม่สนใจเสีย
“เราก็เลือกกันอยู่หลายชื่อหรอกก่อนที่เอมี่จะเกิด” เธอเมินหน้าไปเสียทางหนึ่ง “แล้วนี่อยากจะให้ฉันหาอะไรให้กินไหมล่ะ? อาหารกลางวันเบาๆน่ะ?”
“ต้องเรียกว่าอาหารเช้าถึงจะถูก ขอบใจมาก” เขาพูดเป็นเชิงขอตรงๆ “ผมยังปรับตัวให้เข้ากับเวลาไม่สำเร็จ เพราะขณะนี้สำหรับผมมันน่าจะเป็นตอนเช้าวันพรุ่งนี้แล้วด้วยซ้ำ ขอแค่ออมเล็ตกับขนมปังปิ้งก็พอ”
เขาโน้มร่างลงหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่น ออกเดินด้วยฝีเท้าเงียบกริบเหมือนแมวตรงไปยังห้องบันได อลิซาเบธได้แต่มองตามร่างสะโอดสะอง สง่าแบบผู้ชาย ครุ่นคิดอยู่ในใจเพียงแค่ว่า หลังจากที่เวลาผ่านไปถึง 9 ปีแล้ว เธอไม่ควรจะถูกจะตำหนิเลยที่ไม่อาจจะจำน้องชายของสามีได้ เพราะไม่คิดว่าจะได้พบหน้าค่าตาเขาอีก หรือถ้าจะพูดกันตามความจริง เธอก็เกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ายังมีเขาอีกคนหนึ่งอยู่ในโลกนี้ ในระยะ 2-3 ปีหลังนี้ ได้มีการเอ่ยถึงชื่อเขาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เท่าที่เธอพอจะจำได้ ซึ่งนั่นก็เป็นตอนที่รีเบคก้า แม่ของเขาต้องการจะแจ้งให้เขาทราบว่า บัดนี้พ่อได้ตายไปแล้ว
และเท่าที่อลิซาเบธพอจะนึกออกก็คือ มารดาของสามีได้รับการ์ดจากเขาเพียงแค่ 3 ใบเท่านั้น พร้อมกับข้อความสั้นๆซึ่งส่งมาจากต่างประเทศ และจากสถานที่ซึ่งแตกต่างกัน นับแต่หมู่เกาะแปซิฟิค จนถึงเอเชีย-ตะวันออกเฉียงใต้ และชื่อของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งต้องห้ามในการที่จะกล่าวถึง
ตอนที่อลิซาเบธพอกับเจอเรมี่ในตอนแรกๆนั้น เธอได้รับทราบว่าเขามีน้องชายอยู่คนหนึ่ง ดูเหมือนจะอายุต่างกันแค่ปีกว่าๆเท่านั้น เจดเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน นั่นเป็นความรู้ที่เธอได้รับมาจากการติฉินนินทา ถูกไล่ออกจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ไม่สนใจกับกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของสังคมแต่อย่างใดทั้งสิ้น ไม่ใส่ใจกับชื่อเสียงเกียรติยศที่บุคคลทุกคนในครอบครัวได้พยายามที่จะระวังรักษาไว้
ขณะนั้นความสนใจทั้งหมดของเธอมุ่งอยู่แต่ที่เจอเรมี่ การที่เขาจะมีน้องชายเป็นคนเสเพลนั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรทั้งสิ้น ถ้าเธอจะกังวลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาอยู่บ้าง ก็เห็นจะเป็นเพียงแค่เรื่องที่ว่า เธออยากจะให้เขาเห็นด้วยหรือยอมรับกับการที่เธอจะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เธอจำหลักลงไว้ในความคิดคือ ถ้าครอบครัวของเจอเรมี่ไม่เห็นด้วยในตัวเธอแล้ว นั่นย่อมหมายถึงว่า จะไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้น ไม่ว่าเขาจะรักเธอมากสักเพียงไรก็ตาม
อย่างไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เมื่ออลิซาเบธหันหลังเดินกลับเข้าไปในครัว ความคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องอดีตที่ผ่านมา มันย้อนรำลึกไปถึงช่วงชีวิตก่อนหน้าที่เจดจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน และไปหยุดอยู่ตรงที่ขณะนี้ มีเพียงเธอเท่านั้นที่ต้อนรับการกลับมาของเขาอยู่เพียงลำพัง
เรื่องมันเกิดขึ้น หลังจากที่เจอเรมี่ได้เอ่ยขอแต่งงานกับเธอประมาณวันหรือสองวัน เธอได้พบปะกับพ่อแม่เขามาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เมื่อเจอเรมี่พาเธอไปในงานเต้นรำของคลับในชนบทแห่งนี้ หลังจากที่ได้ขอแต่งงานแล้ว เธอก็ได้รับคำเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของเขา ซึ่งขณะนั้น อลิ-ซาเบธยังใจจดใจจ่ออยู่เพียงเรื่องที่ว่า เจอเรมี่ยังมิได้มอบแหวนหมั้นให้กับเธอเท่านั้น