ตอน 4
“ไปๆ ล้างแข้งล้างขาซะเดี๋ยวป้าจะสอนนุ่งผ้าถุง”
ดังนั้นรินจงจึงหายเข้าไปในห้องเก็บข้าวของมากมายในห้องนั้นมีทั้งฟืน ข้าวโพดแห้งๆ หัวหอม กระเทียม และของต่างๆ รวมไปถึงจานชาม หม้อ ไห สำหรับทำครัวรวมกันอยู่ในห้องนี้
การสอนนุ่งผ้าถุงดำเนินไปอยู่หลายนาทีก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายรินจงจึงต้องไปควานหาเชือกป่าน เพื่อมาผูกปมผ้าถุงให้กับตุ๊กตาสกปรก ไม่ใช่ตอนนี้ไม่สกปรกแล้วหลังจากได้ชำระล้างร่างกาย
“เอาล่ะ แบบนี้คงไม่หลุดแล้วล่ะ ไหนเดินซิ” รินจงสั่งหญิงสาว
“ดีจังแบบนี้” ร่างบางขยับเพื่อทดสอบความแน่นหนาของปมเชือกที่รัดรอบเอว เพื่อกันผ้าถุงล่วงหลุด ตอนนี้หญิงสาวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว ได้เสื้อแขนกุดตัวเล็กสีเขียวอ่อนผ้าเนื้อหยาบตามอรรถภาพที่สาวชาวบ้านจะซื้อหามาใส่ นั่นเป็นสมัยรินจงยังสาว
“นางหนูเอ็งขัดสีฉวีวรรณแล้วดูดีเชียวล่ะ” ไม่ได้ดูดีอย่างเดียวแต่สวยมาก ราวกับนางฟ้า ผมยาวดกดำยาวปกคลุมกลางแผ่นหลังเงางามดังเส้นไหม รูปร่างสูงโปร่งบอบบาง ผิวกายนวลเนียน ใบหน้ารูปหัวใจอย่างกับรูปทรงของเกาะใต้จันทร์แห่งนี้ แพขนตางอนงาม ดวงตากลมโตสุกใส รับกันอย่างเหมาะเจาะกับจมูกโด่งเล็กมีรอยแด่นรั้นนิดๆ กลีบปากอวบอิ่มจิ้มลิ้มชมพูระเรือ อีกทั้งปลายคางมนน่ารักนั้นรวมๆ กันแล้วองค์ประกอบบนดวงหน้าหญิงสาว ราวกับจิตรกรเอกได้บรรจงวาดขึ้นมาอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ไปกัน” รินจงฉวยข้อมือหญิงสาวดึงออกจากห้องเก็บของจุดประสงค์ จะพาไปที่ที่หนึ่ง
“ไปไหนป้าริน” เจ้าของร่างบอบบางในชุดใหม่รั้งข้อมือไว้ สงสัยสิ่งที่รินจงกระทำ
“ก็ไปทำแผลสิ ดูสิแผลเอ็งคงปริ” รินจงมองแผลใต้ตีนผมหญิงสาวมีเลือดไหลซึมออกมา แผลไม่ใหญ่หากว่าไม่ได้ปฐมพยาบาลมันคงปริแตก
“อ๋อค่ะ” ดังนั้นตุ๊กตาไร้ความทรงจำจึงยอมก้าวไปตามแรงฉุดของรินจง ระหว่างทางเดินไปยังอีกทั้งหนึ่งเป็นป่าไม่รกทึบมาก ใบไม้สีแดงอะไรสักอย่างที่หญิงสาวไม่รู้ร่วงหล่นลงพื้น ปูเป็นพื้นพรมให้เดินสวยงามไปตลอดทางเดิน
“นี่บ้านใครคะป้าริน” เมื่อไปถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านไม้ปลูกสร้างด้วยวัสดุ ดูจะแข็งแรงกว่าเรือนพักคนงาน โดยมีกำแพงต้นไม้ล้อมรอบ
“นายหัว” รินจงบอกคนข้างๆ ด้วยภาษาใต้
แค่ได้ยินคำว่านายหัวเท้าเล็กๆ ที่เก้าเดินพลันหยุดนิ่งนึกไปถึงท่าทีเฉยชาและหน้าตารกไปด้วยหนวดเคราของนายหัว ร่างบางถึงกลับไม่กล้าขยับ
“หยุดเดินทำไมล่ะนางหนู ป้าจะพาเอ็งไปทำแผล”
“ที่เรือนคนงานไม่มียาหรือคะ”
“ไม่มี มีแค่บ้านพักของนายหัวนี่ล่ะ ไปๆ ทำแผลเดี๋ยวแผลเอ็งอักเสบ”
“งั้นก็ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะแผลไม่ลึก เดี๋ยวก็คงหาย”
จังหวะนั้นเองคนที่ถูกกล่าวถึงจึงก้าวออกมา
“ป้ารินมีธุระอะไร” เสียงทุ้มดุดันแฝงความเย็นชาเอ่ยถาม
“อ้อ...นายหัว พอดีป้าจะพานางหนูมาทำแผลค่ะ” รินจงขยับร่างอวบระยะสุดท้ายที่ยืนบังร่างบอบบางมิด เผยร่างคนที่ถูกกล่าวถึงในชุดใหม่ พร้อมกับผมยาวดกดำที่ถูกรวบไว้เหนือศีรษะอย่างลวกๆ ดวงหน้าอันปราศจากความมอมแมมจากดินโคลนและเศษใบไม้ใบหญ้าอย่างตอนที่พบหญิงสาวหมดสติอยู่ริมชายหาด เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
สายตาเย็นชาไร้คลื่นความรู้สึก ตะลึงงันยืนตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ภาพหญิงสาว ตัวขาวผุดผ่อง ต่างจากที่เจอก่อนหน้านั้น
“นายหัวมียาทาแผล กับพลาสเตอร์ไหมคะ” รินจงส่งคำถามออกไปโดยไม่รู้เวลา นายหัวขยับดวงตากรอกกลิ้ง ปรับอารมณ์ที่กำลังเตลิดเปิดเปิงเงียบๆ อยู่เบื้องลึกให้หลุดไป
“เอ๊าะ มีสิมีเชิญหยิบไปใช้ได้เลย” นายหัวดึงสติตัวเองกลับมาได้ จึงผายมือไปยังห้องหนึ่งที่ติดตู้ยาสามัญประจำบ้าน บอกหัวหน้าแม่ครัวเสร็จนายหัวแสร้งเดินหนีไป เพื่อบังคับความคิดที่เตลิดไปไกลของตัวเอง เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกคึกคักในหัวใจมากเท่านี้ แม้แต่กับคนรักเก่าที่ทิ้งกันไป ก็ยังไม่เคยรู้สึกว่องไวเท่าการจ้องมองตุ๊กตาตัวนั้นได้เลย
นายหัวเวหาทิ้งก้นลงนั่งบนเก้าอี้ยาวในสวนย่อม ทว่าดูเหมือนว่าม้านั่งจะพื้นร้อนหรืออย่างไร เขาขยับผุดลุกผุดนั่ง ใจหนึ่งอยากเข้าไปดูอาการของหญิงสาว ใจหนึ่งคิดว่าควรปล่อยให้เป็นหน้าที่รินจงได้จัดการไปเหมาะสมที่สุด เขากำลังสับสนจนร่างกายไม่อยู่นิ่ง
จังหวะผุดลุกเพื่อจะไปแอบดู ใช่เขาจะไปแอบดูตุ๊กตาไร้ชื่อ ไร้ความทรงจำกับรินจงทำแผล หากว่าจังหวะหมุนตัว สองสาวต่างวัยก้าวออกมาซะก่อนจึงปะทะกับนายหัวพอดี เขาตีสีหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะวางหน้าไว้ตรงไหน
“นายหัวนางหนูนี่ไม่มีชื่อ ช่วยตั้งชื่อให้นางหนูทีสิคะ” รินจงกล่าวตั้งใจจะให้นายหัวช่วยตั้งชื่อให้กับหญิงสาวไร้นามคนนี้ซะหน่อย
“พราว” นายหัวเอ่ยคำนั้นออกมาราวคนละเมอมากกว่าตั้งใจตั้งชื่อให้กับหญิงสาวตามคำขอของรินจง
“ชื่อพราว นางหนูงั้นเอ็งชื่อพราวแล้วกันนะ ตามที่นายหัวตั้งให้” รินจงเข้าใจว่าเป็นชื่อที่นายหัวตั้งให้กับหญิงสาว ตามนิสัยคนพูดน้อย ก็คงไม่อยากพูดมากจึงบอกแค่นั้น ขณะดวงตายังจับจ้องมองความงามที่ผิดแผกอยู่ตรงหน้า
หญิงสาวมีผิวพรรณแตกต่างไปจากสาวชาวบ้านทั่วไปลิบลับ อาจจะเป็นลูกผู้ดีจากตระกูลไหนสักตระกูลอย่างที่เคยแอบสงสัย แต่จะมาจากตระกูลใด อันนี้ไม่มีใครทราบ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป
ประกายเจิดจ้าที่เปล่งออร่าจากเรือนกาย ทั้งดวงหน้าหญิงสาวกระตุกหัวใจเย็นชาอย่างนายหัวได้เป็นอย่างดี แต่เรื่องอะไรคนที่จ้องมองนางฟ้าตรงหน้าจะรับ ดังนั้นเมื่อกลัวโดนจับได้ นายหัวผู้เย็นชา ใบหน้าดุอย่างกับมหาโจร จึงหันไปสนใจทางอื่นพร้อมกับเดินเลยสองสาวเข้าไปในบ้าน ด้วยท่าทีนิ่งๆ ราวกับไม่สนใจสิ่งรอบกาย
“พราวคือชื่อของเอ็งจำไว้”
“ฉันชื่อพราว” หญิงสาวผู้ซึ่งได้ชื่อใหม่ทวนชื่อตัวเองพร้อมกับชำเลืองมองคนที่เพิ่งเดินเลยตัวเองไป ด้วยอาการหวาดหวั่น เขาช่างเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจยิ่งนัก จะยิ้มแย้มกับเธอสักนิดยังไม่มีเขาเป็นคนอย่างไรกันนะ หญิงสาวลอบคิดขณะเดินตามร่างอวบอ้วนไปเงียบๆ
“เดี๋ยว !” เสียงดุดันนายหัวดังไล่หลังรินจง
“ว่าไงคะนายหัว” รินจงหันมาตามเสียงผู้เป็นนาย
“หาข้าวให้หล่อนกินหรือยัง” ชายหนุ่มเปล่งเสียงดุถาม หากแต่หัวใจกลับไหวหวามสวนทางกับน้ำเสียงอย่างสิ้นเชิง
“หนูพราวนี่เหรอคะ” รินจงแกล้งซื่อชี้ไปยังหญิงสาว ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่านายหัวผู้วางมาดเข้มหมายถึงคนด้านหลังนางคนนี้ นางมองแววตาวิบวับของนายหัวออก แววตาแบบนั้นผู้เป็นนายไม่เคยแสดงออกกับใครมาก่อน แต่ก็อย่างว่าล่ะถ้านายหัวไม่พูดเองจะไปคาดเดาส่งเดชทำไม ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดนายหัวจะลงโทษเอา
“พราว อืม พราวนั่นล่ะ”
“กำลังจะพาไปกินค่ะนายหัว”
“หาอะไรให้กินซะเดี๋ยวจะมาตายบนเกาะเรา กินเสร็จแล้วอย่าลืมหางานให้ทำด้วย มาอาศัยเขาอยู่ไม่เหมาะที่จะอยู่เฉยๆ” นายหัวสั่งเสร็จหมุนกลับเข้าไปในบ้าน ด้วยไม่อยากมองความพราวพร่าง ที่เปล่งออกมาจากหญิงสาวยืนอยู่ด้านหลังรินจง แม้จะมีร่างอวบอ้วนของหัวหน้าแม่ครัวบังอยู่ หากแต่ความสวยงามและช่างโดดเด่นกลับลอยกระแทกหัวใจนายหัวอย่างจัง เขาพยายามไม่คิด แต่ใจกลับเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอก
‘เราชื่อพราว’ คนได้ชื่อใหม่เพ้อขณะเดินไปตามทาง ด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างน้อยชายผู้เย็นชาทั้งสีหน้าและแววตา ก็ใส่ใจตั้งชื่อให้ไม่ได้ใจจืดใจดำจนเกินไป หนำซ้ำยังบอกให้รินจงหาข้าวให้รับประทาน ประกายความดีใจเจิดจ้าอยู่ในหัวใจดวงเล็กพลัดถิ่นราวกับดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นกลางใจไม่ปาน
เมื่อกี้สาบานได้ว่านายหัวเวหาไม่ได้ตั้งชื่อให้ผู้หญิงคนนั้น เพียงแต่เป็นอาการเพ้อมากกว่า ชายหนุ่มเดินวนอยู่กลางห้องหนังสือมองชั้นหนังสือชั้นนั้นทีชั้นนี้ที โดยไม่รู้ว่าควรหยิบเล่มไหนออกมาอ่าน เขาชอบอ่านหนังสือเวลาว่างจากการทำงาน หรือการคุมคนงานเก็บรังนก เขามักขลุกอยู่กับหนังสือหลากหลายในห้องสมุดส่วนตัวแบบนี้ได้ค่อนวันค่อนคืน แต่เวลานี้แม้แต่สมาธิในการเอื้อมมือไปหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาอ่านยังยากเย็น