ตอน 2
“แกควรไปแจ้งนายหัวนะตาดิษ” รินจงยังยืนยันนางรู้ว่าพื้นฐานนายหัวไม่ใช่คนเป็นคนใจร้าย ถ้าเป็นแบบนั้นชายหนุ่มคงไม่เลี้ยงคนให้รักเขาได้มากมายล้นเกาะแบบนี้แน่
“เดี๋ยวค่อยแจ้ง เอาน่าช่วยๆ ก่อน” ตุ๊กตาสกปรกตัวนี้ฟื้นขึ้นมาค่อยสอบถามเอาความจริง แล้วไปแจ้งนายหัวก็ได้ อันดับแรกคงต้องช่วยชีวิตคนซะก่อน
ระหว่างที่ทั้งดิษ รินจงและพฤตกำลังปรึกษากัน ร่างบอบบางสกปรกมอมแมม หากเสื้อผ้าที่หล่อนสวมใส่บนกายแม้จะเปียกปอนสกปรกหากแต่ดูแล้วน่าจะเป็นเสื้อผ้าของพวกผู้รากมากดีในเมือง หรือในเมืองหลวงมากกว่าเป็นสาวชาวบ้านละแวกนี้ หรือแม้แต่สาวสังคมลูกพ่อค้าคหบดี บนฝั่งคงไม่ใช่แบบนี้แน่
ร่างแน่งน้อยบอบบางได้รับบาดเจ็บจากอะไรสักอย่าง กำลังขยับพร้อมกับเสียงครวญเบาๆ คงเพราะอาการจากบาดแผลบนร่างกาย หล่อนคงโดนอะไรมาเยอะ ถึงได้สะบักสะบอมขนาดนี้
“อื้อ...” เสียงแผ่วพร่าดังขึ้น
“เอ้ย...นั่นๆ ฟื้นแล้วตาดิษ ไอ้พฤต” รินจงขยับตัวแล้วก้มลงมองตุ๊กตาสกปรกมอมแมมขยับร่าง
ขณะเดียวกันเจ้าของเกาะได้เดินมาสมทบที่เรือนคนงาน เพราะคนงานคนอื่นไปรายงานว่าดิษ หัวหน้าคนงานช่วยคนเอาไว้ ตกลงไอ้หมอนี่มันจัดการกับซากปลาหมึกที่ลอยมาติดเกาะด้วยการพามาที่เรือนพักคนงานอย่างนี้นี่นะ
“อ้าว นายหัว” ดิษอุทานเรียกผู้เป็นนาย พลางขยับออกมาเพื่อเปิดทางให้นายหัวได้ดูตุ๊กตาสกปรกบนแคร่ซึ่งกำลังจะฟื้นคืนสติ คราวนี้จะได้รู้เรื่องทั้งหมดซะที
“หาเรื่องจริงๆ” นายหัวเวหาตวัดสายตาไปทางหัวหน้าคนงานที่แส่ สร้างเรื่องเป็นพลเมืองดีบนเกาะใต้จันทร์ไม่เข้าท่า
ร่างบอบบางเปียกปอนขยับเขยื้อน ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ปรับภาพมองรอบกาย ภาพต่างๆ ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นภาพแรกที่เจ้าของร่างที่นอนนิ่งบนแคร่เมื่อครู่คือชายร่างสูงใหญ่ที่ใบหน้าล้อมกรอบด้วยหนวดเครารกรุงรัง ดวงตาที่แค่หรี่มองภาพเหนือศีรษะบัดนี้เบิกกว้างด้วยอาการตกตะลึง
ใครกันที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือเลยจากตัวเธอ หน้าไม่คุ้นไม่รู้จัก ยอมรับว่าน่ากลัวน่าเกรงขาม หัวใจดวงน้อยรู้สึกได้ถึงความกลัวแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ ยกมือที่แสนปวดร้าวกุมสาบเสื้ออันเปียกชุ่ม
“ฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นมาคุยกันแม่คุณ” นายหัวย่อกายลงนั่งตรงแคร่ที่ร่างบอบบางขยับร่างถอยร่นไปนั่งห่างออกไป
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“นั่นไม่สำคัญเท่ากับฉันต้องการรู้ว่าเธอเป็นใคร ชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน ไหนๆ ก็ฟื้นแล้วฉันจะสงเคราะห์ให้ลูกน้องไปส่งถึงที่”
“ชื่อ...” หญิงสาวผู้ผลัดถิ่นทวนคำถาม
“เอ้าว่าไง ชื่อเสียงเรียงนามอะไร บอกมาสิ”
หญิงสาวยังคงนิ่ง มองรอบกายต่อไปมองคนทั้งสี่สลับกัน แล้ววนกลับมาที่คนถามอีกครั้ง เธอพบว่าชายผู้นี้นอกจากผิวเข้ม ร่างสูงใหญ่ ดวงหน้าล้อมด้วยหนวดเคราราวกับโจรใจร้าย หรือผู้ร้ายที่สังคมรังเกียจแล้ว เขายังมีดวงตาเย็นชา ไร้คลื่นของความรู้สึกใดๆ อีกด้วย ความหนาวเหน็บที่เกาะร่างยังไม่เท่าความหนาวเหน็บที่เกาะกินใจเมื่อเห็นดวงตาน้ำแข็งคู่นั้น
“มะ...ไม่รู้”
“หา !! ไม่รู้จักชื่อตัวเอง” คนงานทั้งสามอุทานเสียงดังออกมาพร้อมๆ กัน “หรือว่า...” ดิษแอบคิดบางอย่างไว้ในใจ
“ชื่อไม่รู้ บ้านล่ะอยู่ไหน จะได้พาไปส่งบ้าน”
“บ้านคืออะไร” เจ้าของร่างมอมแมมตอบออกมาอย่างเด็กแรกคลอด หลังจากทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่ แล้วก็พบว่าในสมองช่างขาวโพลนไร้ข้อมูลใดๆ เพื่อนำมาเป็นคำตอบให้กับกลุ่มคนที่ล้อมรอบกายเธออยู่ตอนนี้
“งานเข้าแล้วไอ้ดิษ” นายหัวเวหาตวัดสายตาไปทางหัวหน้าคนงานที่หาเรื่องเดือดร้อนเข้ามายังเกาะใต้จันทร์จนได้ เมื่อคืนขโมยกลุ่มไม่ทราบฝ่ายบุกเข้ามาบนเกาะ เพื่อขโมยรังนก เช้านี้มีคนปัญญาเสื่อมลอยมาติดเกาะ บางทีอาจเป็นพวกนางนกต่อ เขาไม่ควรไว้ใจสถานการณ์และตุ๊กตาตัวสกปรกตรงหน้า
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณครับ” คราวนี้ดิษเป็นฝ่ายอดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง ก่อนที่นายหัวจะหมดความอดทน โยนร่างมอมแมมนี้ลงทะเลให้ฉลามกิน คราวนี้เขาคงช่วยอะไรไม่ได้แน่
“ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวตอบแบบงงๆ ก็ในเมื่อไม่รู้จริงๆ จะให้เธอหาคำตอบที่ไหนให้กับคนพวกนี้ สถานที่นี้คือที่ไหน คนพวกนี้เป็นคนแบบไหน ถ้าเป็นโจรหรือผู้ร้ายคงจะสังหารเธอไปแล้ว คงไม่ปล่อยให้เธอได้มีลมหายใจมายาวนานจนฟื้นขึ้นมาแบบนี้แน่
“ชื่อไม่รู้ บ้านไม่รู้จัก เกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้หรือว่าหล่อนถูกคลื่นชัดร่างกระแทกของแข็ง จนความจำเสื่อม” ดิษสันนิษฐานตามสถานการณ์บีบบังคับ
“คราวนี้จัดการเองก็แล้วกัน ฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย” นายหัวผู้เย็นชาเอ่ยออกมาได้แค่นั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นยืน พร้อมกับหันไปสั่งหัวหน้าคนงาน ให้รีบจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยเร็ว จะพาออกไปจากเกาะ หรือจะเค้นความจริงแล้วแต่จะทำกันไปก็แล้วกัน
“คุณ” หญิงสาวร้องเรียกชายที่กำลังจะก้าวจากไป การร้องเรียกของเธอดั่งคนละเมอมากกว่าตั้งใจเรียก แต่ไม่รู้อะไรสั่งให้เธอเรียกเขา
“เธอนึกออกแล้วอย่างนั้นเหรอ” นายหัวเวหาหันกลับมาหาร่างมอมแมม ที่ไร้ข้อมูลในหัวสนใจเสียงที่เปล่งเรียกเขา เพราะนั่นหมายถึงเขาจะส่งเธอออกไปจากเกาะได้เร็วขึ้น
“มะ...ไม่ใช่” หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก
“แล้วมันอะไรล่ะ” ชายหนุ่มเจ้าของเกาะรูปหัวใจต้องการทำตอบ เกาะของเขาเป็นเกาะที่สวยงามมาก กระทรวงการท่องเที่ยวต้องการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของภาคใต้ แต่เขาไม่ยอมเพราะเป็นเกาะส่วนตัว ทั้งไม่ชอบให้ใครต่อใครเข้ามารบกวน ด้วยนิสัยชอบสันโดษ โลกส่วนตัวสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป
“ท่าน...คุณ...จะทิ้งฉันไว้แบบนี้เหรอ” หญิงสาวเรียกขานชายหนุ่มไม่ถูก ด้วยไม่รู้ฐานะชายร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามผู้นี้ ได้ยินแต่ชายหญิงเหล่านี้เรียกนายหัว คำว่านายหัวคือชื่อหรือตำแหน่งการทำงาน เธอก็ไม่ทราบได้ สิ่งที่ทำให้เธอเรียกเขาไว้เพราะภาพแรกที่ปรากฏต่อดวงตาสีนิลของเธอคือเขา ดังนั้นเขาคือผู้มีพระคุณต่อเธอ ย่อมไม่ควรทิ้งเธอไว้กับคนตัวดำผมเผ้ารุงรังแบบนี้ ว่าแต่เขาเองก็น่ากลัวไม่ต่างจากผู้ชายสองคนที่ยืนรอบตัวเธอเช่นกัน
“หึ...” นายหัวแค่นเสียงออกมาได้แค่นั้นหันกลับไปทางเดิม แล้วเดินหนีไปอย่างไม่มีคำตอบให้กับคนถาม
“เมียจ๋า” ดิษเอ่ยเสียงหวานกับเมียรัก ส่งสายตาออดอ้อนเพื่อต้องการบางอย่าง
“ว่าไงพี่ดิษเสียงหวานแบบนี้จะมอบนางตุ๊กตาตัวนี้ให้เมียล่ะสิ” หาเรื่องพานตกงานทั้งผัวเมียซะแล้วไหมล่ะ อยู่ดีไม่ว่าดีไปแบกคนแปลกหน้าเข้ามาในเกาะ
“ช่วยจัดการที พาไปอาบน้ำ หาข้าวหาปลาให้กิน ถ้าท้องอิ่มเมื่อไหร่สติคงกลับมา” ดิษหวังไว้เช่นนั้นแต่ก็เผื่อใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไว้เช่นกัน นั่นคือแม่ตุ๊กตาสกปรกตัวนี้เกิดความจำเสื่อมจากการที่หัวกระแทกกับอะไรสักอย่าง อย่างถาวรคงต้องเลี้ยงดูกันยาวแน่
“ก็ได้มานี่เห็นแก่มนุษยธรรมนะ” รินจงใช้ศัพท์วิชาการแต่นางก็เป็นสาวชาวบ้านที่จิตใจงดงาม ขาวสะอาดต่างจากตัวดำ ผมหยิก
“เออ...เมียข้าเป็นพวกเรียนสูงตั้งแต่เมื่อไหร่วะไอ้พฤต” ดิษประชดเมียรัก
“ทำไมล่ะพี่” พฤติไม่เข้าใจคำถามจากปากหัวหน้าคนงาน
“ก็ใช้ศัพท์สูงน่ะสิวะ มนุษยธรรม เป็นข้าคิดไม่ได้นะเนี่ย” ดิษว่าพร้อมกับคลี่ยิ้ม
“ไปๆ พวกเอ็งจะไปไหนก็ไป ปล่อยให้นางหนูนี่เป็นหน้าที่ของข้าก็แล้วกัน” รินจงปัดมือไล่ผู้ชายทั้งสอง
ขณะตุ๊กตาไร้ชื่อ ไร้นาม ไร้ที่อยู่เป็นศพคืนชีพพลัดถิ่น หาที่มาที่ไปไม่เจอ หญิงสาวได้แต่นั่งมองเส้นทางที่นายหัวหายร่างไปอย่างไร้ความรู้สึก รินจงมองตุ๊กตาน่ารักหากว่าช่างมอมแมมนักด้วยความสงสาร เห็นแบบนี้นางคงทิ้งหรือผลักไสไม่ลง
“ตามข้ามานางหนู” รินจงขยับกายเพื่อจะพาร่างมอมแมมไปอาบน้ำ ยังลำธารน้ำตกหลังด้านหลังเรือนพักคนงาน
“โอ้ย !!” แต่จู่ๆ เมื่อหญิงสาวขยับร่างเพื่อจะหยัดกายหวังใจว่าจะเดินตามผู้หญิงร่างอวบตัวดำ ตามที่นางเรียก แต่แล้วความเจ็บแปลบแผ่ซ่านทั่วศีรษะ