ตอนที่ 9 วันแรกหลังเลิกเรียน (2)
ตอนที่ 9 วันแรกหลังเลิกเรียน (2)
เมื่อเห็นแสงไฟสว่างจากห้องดนตรี เสือน้อยก็เปลี่ยนรองเท้า ก่อนจะเดินเข้าไปเปิดห้องซ้อมดนตรี เตรียมการจะทักทายพ่อหลังจากกลับมาบ้าน แต่พอเปิดห้องก็ได้ยินเสียงร้อง พร้อมดนตรีดังลั่นออกมา คล้ายกับอยู่คนละโลก
♪ “หอบฟางหอบฟางไปไหน ทำไมถึงต้องหอบฟาง หอบกันจริง ๆ จัง ๆ หอบกันรุงรังหอบฟาง” ♪
เสือน้อยก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ตั้งแต่เด็กมาพ่อผันแกชอบเพลงนี้นักแหละ…ซึ่งเต็มไปด้วยรูปโปสเตอร์ที่ติดผนังมากมาย ด้วยเพราะแกเป็นแฟนคลับตัวยง ของวงอัสนี-วสันต์ เห็นได้จากลายเซ็น ที่แกเล่นใส่กรอบเลี่ยมทองมาเป็นอย่างดี
ส่วนเพลงบ้าหอบฟางที่แกกำลังร้องอยู่ ‘เป็นเพลงเปิดหัว’ เวลาอยู่ในห้องซ้อม เรียกได้ว่าเป็นเพลงฮิตติดปาก…
เสือน้อยเคยถามว่าทำไมชอบเพลงนี้นักหนา “คำตอบที่ได้ก็ทำให้หนุ่มน้อยเส้นเลือดบนศีรษะเต้นตุ้บตับ และที่มาที่ไปของพ่อซึ่งชอบเพลงนี้ ก็มีเขาเป็นต้นเหตุอยู่ด้วย…”
…………
ปีพุทธศักราช 2536
หลังจาก เสือน้อย คลอดออกมาได้เดือนกว่า ๆ ส่วนแม่ชบาของก็อยู่ไฟจนมดลูกเข้าอู่แล้ว
ปรากฏว่าแม่ชบาเตรียมที่จะกลับไปทำงานบริษัท ซึ่งหล่อนใช้วันลาคลอด จวนจะครบตามกำหนด “แต่ทว่าดันเกิดเรื่อง เธอดันถูกนายห้างโทรมาบอกเลิกจ้าง โดนปลดฟ้าผ่ากลางอากาศ” หลังจากที่เธอคลอดลูกได้ไม่นาน “ทำเอาเจ้าหล่อนของขึ้น และหอบสังขารไปที่บริษัทโวยวายยกใหญ่ จนเจ้าหน้าที่บริหารต้องออกมาคุยด้วย”
รองประธานบริษัททำสีหน้ากระอักกระอ่วน “คุณชบา...เอ่อ…คือว่าตอนนี้ทางบริษัทเราได้รับพนักงานคนใหม่มาแล้วครับ และเขาก็ทำงานได้ดี ตอนช่วงที่คุณลาคลอดด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เราต้องเลิกจ้างคุณ...”
อันที่จริงตัวเขา…เป็นแค่ หน้าม้า ที่ประธานบริษัทส่งมาเจรจาด้วยก็เท่านั้น
“แล้วยังไงเหตุผลคืออะไร?” เธอพูดเสียงขึ้นจมูก ภายในแววตาและจิตใจมันอัดแน่นไปด้วยความโกรธ
“คือว่า คุณหยุดงานลาคลอดนานเกินไป ไปทำให้บริษัทเสียผลประโยชน์” รองประธานพูดเสียงอ่อน เพราะเขาก็รู้ว่าที่พูดไปมันไม่ถูกต้อง แต่ก็จำใจด้วยเพราะสาวตรงหน้า เธอปฏิบัติตามข้อตกลงของบริษัทและกฎหมายที่ผู้หญิงมีสิทธิ์ลาคลอดได้…
“คุณยุทธคะ ดิฉันเนี่ยทำตามข้อกำหนด ข้อตกลงยื่นใบลาคลอดตามขั้นตอนกฎหมายเรียบร้อย ลาคลอดฉันก็ไม่ได้ลาเกินกำหนด พร้อมที่จะกลับมาทำงานก่อนเวลาด้วยซ้ำ” ชบากัดฟันพูด หล่อนกำลังข่มสติ
“ฉันทำตามกฎทุกอย่าง ทำงานให้บริษัทตลอดหลายปีมาอย่างเต็มที่ แต่พวกคุณ…เจ้าหน้าที่บริหาร กลับมาไล่ฉันออกด้วยเหตุผล เพราะฉันลาคลอด! คุณ...คิด...ว่า...มัน...ถูก...แล้ว...เหรอ?” เธอเน้นคำพูดอย่างหนักแน่น
จากนั้นก็คุยเจรจากันอยู่พักใหญ่ สรุปก็คือ “บริษัทไม่ต้องการคุณแล้ว” เป็นประโยคแบบตอกฝาโลง ตัวเธอสรุปใจความได้ดังนั้น
พร้อมได้รับการชดเชยเงินอีกแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น พอได้ยินดังนั้นโทสะที่ข่มไว้ในหัวใจก็ระเบิดออกมาทันที “ไล่ฉันออกโดยที่ฉันไม่ผิดก็ว่าแย่แล้วแต่คุณชดเชยเยียวยาฉันแค่ไม่กี่เดือน คุณเห็นว่าฉันเป็นลูกมะพลับบีบง่ายนักหรือไง?” คุณแม่วัยสาวทุบโต๊ะเสียงดังลั่น แสดงท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นก็เถียงกันอีกครู่หนึ่ง ทว่าเธอก็รู้ดีว่าเถียงต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น จึงขอให้พวกคณะผู้บริหารลงชื่อในเอกสารเพื่อยืนยันอีกครั้งว่า “ชดเชยได้เท่านี้!”
ก่อนที่ทางฝั่งนั้นจะจำใจลงชื่อเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะว่าไม่อยากต่อร้องต่อเถียงกับเธอ อยากจะให้เรื่องมันจบ ๆ ไป
พอได้รับเอกสารมา เธอจึงป่าวประกาศ เสียงดังฟังชัด “ฉันได้ติดต่อทนายความ และเตรียมไปยื่นเรื่องกับกระทรวงแรงงานเป็นที่เรียบร้อย” เธอสะบัดตัวหอบเอกสารกลับบ้านด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
ทว่าก่อนจะเปิดประตูออกไป เธอหันหน้ามาพูดอีกประโยค ที่ทำเอาคณะบริหารสะดุ้งเป็นแถว ๆ “อื้ม...ฉันคิดว่าตอนนี้หนังสือพิมพ์ไม่มีข่าวจะเล่นพอดี ฉันคิดว่า ‘พาดหัวไม้ของหน้าหนึ่ง’ บริษัทใหญ่ไล่แม่ลูกอ่อนออก เพียงเพราะลาคลอด มันน่าสนใจดีใช่มั้ยล่ะ?” รอยยิ้มที่มุมปากของเธอแฝงไปด้วยแผนการ
เพราะนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาเหยียบบริษัท เธอก็เริ่มทำตามแผนการของตนเองแล้ว ซึ่งตนวางแผนการไว้กับสามีและทนายความ สิ่งที่สำคัญก็คือลายมือชื่อของผู้ที่เขี่ยตัวเธอกระเด็นออกจากตำแหน่ง
ทางคณะผู้บริหารที่อยู่ในนั้นเริ่มหน้าซีด และรู้ถึงระดับความร้ายแรงของเรื่องนี้…ขึ้นมาอีกนิด
ด้วยเพราะว่าเอกสารไล่ออก(เลิกจ้าง) ก็ตกอยู่ที่มือของเธอแล้ว ซองเงินเดือนพร้อมเอกสาร ค่าชดเชยก็มีลายเซ็นกำกับไว้แล้ว…
“จะมาเอาเปรียบอีชบาคนนี้ หรือฮื้อ…รู้จักฉันน้อยไปเสียแล้ว!?” ชบาคุณแม่มือใหม่ กัดฟันพูด หลังจากนั้นไม่นาน ก็ดำเนินการตามแผน และข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับออกตามที่เธอคาดการณ์ไว้
……
“สาวอุ้มลูกร้อง ถูกเลิกจ้างเพราะลาคลอด” ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เนื้อหาคร่าว ๆ ก็เป็นหญิงสาวรายนี้ หอบกระเตงลูกชาย ไปที่กระทรวงแรงงาน ยื่นเรื่องต่อรัฐมนตรีกระทรวงโดยตรง และเผอิญที่รัฐมนตรีคนนี้เป็นผู้หญิงเสียด้วย ชบาจึงเล่าความชอกช้ำระกำใจให้ทางท่านรัฐมนตรีฟัง ทางรัฐมนตรีก็ขอดูเอกสารเห็นลายเซ็นของผู้บริหาร...ก็ยังรู้สึกโกรธแทน
เมื่อสายข่าวประจำกระทรวงได้ยินข่าวเข้าหู เห็นว่าเป็นประเด็นน่าสนใจ…หลังจากที่คุยกับรัฐมนตรีเสร็จ นักข่าวก็มาดักรอสัมภาษณ์ ทั้งหนังสือพิมพ์และช่องทีวี พวกเขาเริ่มถามถึงสาเหตุอีกรอบ
ชบาก็ตีบทแตกพูดไปสะอื้นไป พร้อมแอบเปรย ๆ ว่า บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ชื่ออะไร ผลิตสินค้าอะไร ส่วนเธอทำตำแหน่งอะไร ป้อนให้นักข่าวโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังเล่าคำพูดของผู้บริหารที่พูดคุยกับเธออย่างไม่หมกเม็ด…
“เรื่องนี้…ดังไปจนเป็นประเด็นร้อนเข้าที่ประชุมรัฐบาล” ส่วนทางบริษัทนั้นก็ถูกเล่นงานและตรวจสอบอย่างหนักทั้งจากนักข่าว และกระทรวงแรงงาน รวมไปถึงประชาชนละแวกนั้นที่ทราบข่าวว่ามีหญิงสาวหอบเอาลูกไปร้องเรียน…
จึงพากันประณามบริษัท รวมไปถึงผู้บริหารรายนี้ จนต้องปิดกิจการเพราะถูกด่ารายวัน แถมพวกคู่ค้าลูกค้าต่างยกเลิกคำสั่งซื้อไปมากมาย
....
หลังจากนั้นตลอดเดือนกว่า ๆ แม่ชบาก็นั่งจิบกาแฟพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าคล้ายกับว่าตัวเธอถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง หรือไม่ก็ได้รางวัลชนะเลิศจากกีฬาอะไรสักอย่าง
สองมือก็พลางเปลี่ยนหน้าหนังสือพิมพ์อ่านข่าวสารไปเรื่อย “โทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นเป็นเดือน ๆ นักข่าวมาขอสัมภาษณ์อยู่เป็นระยะ ๆ กว่าเรื่องนี้จะเงียบจางหายไปจากหน้าข่าว…”
ตอนหลังพ่อของตนจึงเรียกรอยยิ้มนี้ว่า ‘รอยยิ้มพิฆาต’ ทั้งตัวของพ่อผันก็ได้รับแรงบันดาลใจวาดภาพ ทั้งยังเอาภาพวาดไปขาย จนสร้างชื่อให้กับตัวเองอีก กับผลงานที่มีชื่อว่า “แม่ผู้แกร่งกล้า!”
เป็นภาพหญิงสาวอุ้มลูกพร้อมน้ำตาคลอ บนป้ายมีรูปกระทรวงแรงงานอยู่ข้าง ๆ บนพื้นมีเศษขนมที่บริษัทเก่าผลิตออกมาขาย “พร้อมทั้งไมค์ และแสงไฟจากกล้องถ่ายรูป เป็นการเสียดสี”
พอนำออกมาขาย เพื่อนฝูงในวงการก็ช่วยกันประชาสัมพันธ์ จนขายได้หลายล้านบาทเลยทีเดียวเชียว เพราะเรื่องนี้มีอ้างอิงมาจากชีวิตจริงของครอบครัวตัวเอง
บรรดานักข่าวที่หิวกระหายข่าวก็พากันกระพือข่าวอีกระลอก จนทำให้บริษัทและผู้บริหารโกรธจนควันออกหู เพราะเตรียมจะเปิดบริษัทใหม่อยู่รอมร่อ แต่กลับถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกรอบ
ทางปู่ย่าตายายของเสือน้อยก็เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “ผัวหาบเมียกระเดียดอย่างแท้จริง”
จากนั้นไม่นานแม่ก็วางแผน ตีเหล็กตอนกำลังร้อน…ใช้ช่วงที่กำลังเป็นข่าวเดินหาทำเลเปิดร้านขายกับข้าวที่ตลาดใจกลางเมืองปทุม หลังจากได้ที่ทาง ก็มีคนสนอกสนใจ และเห็นอกเห็นใจในเวลาเดียวกัน มาช่วยกันอุดหนุนไม่ขาดสาย
หนึ่งนั้นมาเพราะสงสาร และอีกส่วนนั้นมาเพราะติดใจในรสมือของเจ้าหล่อน
แน่นอนว่าถ้าของไม่ดี อาหารไม่อร่อยใครจะมาซื้อ…ทุกคนย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ
และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา พ่อก็เล่าให้ฟังว่า “แม่คล้ายกับจิงโจ้ มีกระเป๋าคาดเอวใส่เงินสดอยู่เป็นตับ ๆ อีกทั้งเวลานับเงินก็ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีความสุข ซึ่งไม่ว่ามองกี่ครั้งก็ชวนพ่อขนหัวลุก”
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นไปหลายเดือน แม่ก็ยังชอบหอบเงินไปมา เวลาเดินไปไหนมาไหน พ่อจึงชอบร้องเพลง ‘คนบ้าหอบฟาง’ แซวแม่เพราะมันช่างตรงกับแม่เสียเหลือเกิน
ส่วนแม่ก็มองค้อนทำทีไม่สนใจในช่วงแรก ๆ แต่พอหลายหน ทนไม่ไหวก็ทั้งบิดทั้งหยิกแขนพ่อจนเขียวช้ำ ไม่ก็ดึงหูจนพ่อผันร้องโอดโอย…
พอเสือน้อยนึกถึงเหตุการณ์ตอนพ่อผันเล่าให้ฟัง ตัวเขาก็อดภาคภูมิใจไม่ได้จริง ๆ เขาปิดประตูเบาๆ ปล่อยให้พ่อจมอยู่ในโลกของเสียงดนตรีต่อไป…
จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ลานกว้างด้านบนยังคงเอกลักษณ์ไทยเดิมไว้อยู่มาก ที่มุมหนึ่งใต้ชายคา เสือน้อยก็เห็นแม่นั่งโยกอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด สายตามองดูละครเย็นอย่างสนอกสนใจ เขากล่าวทักทายแม่ทันที “แม่จ๋ากลับมาแล้วจ้า!”
แต่เขากลับได้ยินเสียงอู้อี้ตอบ เสือน้อยจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เขาก็มองเห็นแม่ที่กำลังมาสก์หน้าอยู่ จึงขยับปากมากไม่ได้
“จะว่าไปแล้วแม่เขาก็ดูแลตัวเองได้ดีจริง ๆ อายุสามสิบเกือบจะสี่สิบ ตอนนี้ยังดูอ่อนเยาว์ลงกว่าเดิมเสียอีก ส่วนรูปร่างทรวดทรงองค์เอว ก็ดูดีเป็นอย่างมาก”
มีหลายครั้งที่มีคนทักเขาว่า “พาพี่สาวมาด้วยเหรอ!?” ก็เล่นทำเอาแม่ชบา แกยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกถึงรูหูเชียว
เสือน้อยไม่รบกวนเวลาเสริมสวยของแม่ ดังนั้นเขาจึงได้เปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเอง เพื่อที่จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า…
_____________
ช่วงนี้กำลังปูพื้นเรื่องอยู่ครับ เนื้อหาจะแล่นเร็วหลังจาก “ตอน 25 ร้านชื่อดีกับเจ้าของตัวแสบ”