บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8 วันแรกหลังเลิกเรียน (1)

ตอนที่ 8 วันแรกหลังเลิกเรียน (1)

หลังจากนั้น…ทั้งกลุ่มก็นั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ใครฝากเข้าบ้าง จับฉลากบ้าง เมื่อเห็นเสือน้อยเปิดใจเล่าให้ฟัง ทุกคนที่เหลือก็ไม่มีกั๊กไว้เลย เหมือนเทน้ำออกจากขวด ไหลออกมาจนหมด

จากนั้นก็ถึงตอนบ่ายโมงเศษ ๆ หมดเวลาของคาบว่างแล้ว ซึ่งทั้งกลุ่มก็พากันเดินขึ้นไปเรียนกันตามปกติ ยังนัดแนะกันด้วยว่าพรุ่งนี้จะเจอกันตรงไหน

ช่วงเวลาที่ครูออกแวะไปนอกห้องเพื่อนผู้ชายในห้องก็หันมาชวนกันไปเล่นเกม โดยมีไอ้สมชายเป็นตัวตั้งตัวตี มีคนเสนอท้าตีดอทเอ หรือไม่ก็เกมออนไลน์อื่น ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยม ใครที่จับคู่ถูกโฉลกเล่นเกมเดียวกันก็นัดแนะไปด้วยกัน

และแล้วคาบวิชานี้ก็ผ่านพ้นไป…จนถึงเวลาเลิกเรียน

แต่ในโรงเรียนมีกฎแปลกประหลาดอยู่ว่า…ก่อนออกจากโรงเรียน ต้องเอาเศษขยะในโรงเรียนมาทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเศษเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามแต่ “คงเพื่อชักชวนให้นักเรียนรักความสะอาด หรือไม่ก็ขี้เกียจจ้างภารโรงล่ะมั้ง?” เสือน้อยลูบคางบ่นพึมพำ

สำหรับเด็ก ม.1 ที่พึ่งเข้ามาย่อมไม่รู้เรื่องราวเช่นนี้มาก่อน “ส่วนพวกรุ่นพี่ ก็ไม่เคยบอก คงเห็นว่ามันเป็นเรื่องหยุมหยิม” เขาจึงต้องขวนขวายไปขุดคุ้ย เอาเศษขยะตามซอกหลืบมาจนได้ เป็นเปลือกลูกอมชิ้นกระจิ๋วหลิว

ทุกคนต่างเข้าแถวเป็นระเบียบ แบ่งออกเป็นสองฟากฝั่ง แถวยาวเป็นหางว่าว ในมือถือขยะคนละชิ้นสองชิ้น ขาดก็รอแต่ยามเปิดประตูเท่านั้นถึงจะได้ออกจากโรงเรียน “เสียงตามสายประกาศเป็นระลอก ๆ พูดเรื่องราวจิปาถะ…”

พอเปิดประตูออกทุกคนที่ทิ้งขยะเสร็จ ก็ก้าวออกไป “ทว่าเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ เริ่มวิ่งหน้าตั้ง คล้ายกับหมาโซ่ขาด” พวกเขาตรงดิ่งไปยังร้านเกมที่อยู่รอบๆ โรงเรียน ซึ่งมีเป็นสิบ ๆ ร้าน ถึงขนาดว่าต้องแย่งเก้าอี้กันเลยก็มี

เสือน้อยพึ่งเห็นภาพนี้กับตาตัวเองเป็นครั้งแรก ได้แต่พึมพำในใจ “พวกมึงจะรีบไปไหนกันวะ!” วิ่งกรูเป็นฝูงห่าผีคลั่งกันทีเดียว

ในอีกมุมหนึ่งก็คล้ายฝูงม้าที่ถูกปล่อยออกจากไม้กั้น ต่างคนต่างวิ่งแข่งขันกันเพื่อไปให้ถึงจุดหมายหรือก็คือร้านเกมก่อน… “ทำนองว่าถ้าใครไปถึงก่อนเจ๋งกว่าอะไรแบบนี้ ส่วนตัวเขาไม่ได้รีบร้อนวิ่งเป็นหมาบ้าเหมือนไอ้พวกนั้น” หากแต่ยืนสุขุมอยู่หน้าโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนทั้งสามคน ซึ่งก็คือกลุ่มที่ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน

สิงหา : เอาไง พวกเราไปร้านไหนกันดีวะ?

ต่าย : ร้านไหนก็ได้หมดแหละ เอาที่นั่งติดกันก็พอข้าขี้เกียจตะโกนข้าม

เอส : เออเห็นด้วย! แล้วเอ็งล่ะเอาไงไอ้เสือน้อย ไปกับพวกข้ามั้ย?

สิงหา : ข้าว่านะมันรอแม่ยอดดวงใจของมันอยู่เสียมากกว่า…

ทั้งกลุ่มพากันหัวเราะ ทำเอาเสือน้อยใบหน้าแดงก่ำ จึงได้แต่ตอบตกลงแก้เขิน “เออ...ไปก็ไป! ส่วนร้านไหนนั่งติดกันได้ก็ร้านนั่นแหละ เล่นดอทนะ…”

จากนั้นทั้งกลุ่มก็เดินตระเวนหาร้านเกม ที่มี 4 ที่นั่งติดกัน ผ่านไป 7-8 ร้านก็ยังหาไม่ได้ “เสือน้อยพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมพวกมันวิ่งเป็นหมาโซ่ขาดกันได้ขนาดนั้น เพราะถ้าช้าหมดอดเล่น ไม่มีแม้แต่ที่นั่งให้ได้พักเมื่อย” จนทั้งกลุ่มยอมที่จะไม่นั่งติดกันถึงได้เล่นเกมด้วยกันได้...

เวลาผันผ่านเล่นไปแป๊บเดียวก็เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว …ดีที่ว่ารถเมล์แถวนี้วิ่งกันยัน 4 ทุ่มกว่า ๆ ส่วนบางสายแค่สองทุ่มก็หมดแล้ว

เสือน้อยพูดขึ้น “ไอ้สิงหาเดี๋ยวข้าเพิ่มเพื่อนไปนะ แต่เอ็งอย่าลืมเมล์ของเหมือนฝันนะโว้ย” เขากอดคอเพื่อนที่ตัวเตี้ยกว่า และพูดย้ำอีกครั้ง

สิงหาตอบแบบไม่ลังเล “เออ…ไม่ลืมหรอกน่า…ถ้าลืมเอ็งก็โทรมาหาข้าก็สิ้นเรื่อง!”

เอส ถามขึ้น : พวกเอ็งอยู่ได้ถึงกี่โมงวะ?

เสือ : ข้า...ได้ยันร้านปิด (เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกเขาไม่ได้เตรียมไปช่วยแม่อยู่แล้ว)

ต่าย : ของข้าสักหกโมงครึ่งก็คงต้องกลับแล้ว

สิงหา : เออข้าก็หกโมงครึ่งเส้นตาย

......

หลังจากได้เวลาแยกย้ายทั้งสี่ก็กลับบ้านกันไปตามทาง ส่วนเสือน้อยเดินไปตลาดดูว่าแม่เก็บร้านแล้วหรือยัง เพราะนี่ก็เกือบจะทุ่มหนึ่งแล้ว

เมื่อถึงตลาดก็พบว่าแผงของแม่ เก็บจนเรียบร้อยแล้ว ดูท่าวันนี้จะขายดี เสือน้อยจึงเดินตัวเบากลับบ้านที่อยู่ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร

ไม่นานเมื่อถึงบ้านก็ได้ยินเสียง “ป๊าบ ป๊าบ” ดังออกมาจากค่ายมวย ตรงข้ามบ้านเขา

พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ขายที่ดินแปลงนี้ก่อนที่จะให้ปู่กับย่าไปเที่ยวรอบโลกตามใจฝัน และนาน ๆ ทีจึงจะกลับมาให้เห็นหน้า…

สำหรับค่ายมวยนั้น…เสือน้อยเรียกได้ว่าวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก “เจ้าของค่ายมวยเป็นอดีตนักมวยไทยรุ่นเก๋า คว้าแชมป์ลุมพินี มวยแชมป์ต่าง ๆ แกกวาดรางวัลมาแทบจะหมดแล้ว” พอสังขารร่วงโรยจึงผันตัวเองมาปลุกปั้นนักมวยใหม่ ๆ

โล่รางวัลพร้อมภาพถ่ายเป็นเครื่องการันตีความสามารถ ซึ่งประดับประดาอยู่เด่นชัดบนป้ายไวนิลตามผนัง ในตอนเด็ก ๆ เสือน้อยฟังมาว่าชื่อฉายาของลุงแกคือ “ศอกทอง ศิษย์เมืองปทุม”

ซึ่งดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งจังหวัด ถือเป็นหน้าเป็นตาให้กับจังหวัดปทุมธานี ณ ตอนนั้นเป็นอย่างมาก

จวบจนวันนี้ก็ปั้นเยาวชนรุ่นใหม่ ขึ้นไปชกตามเวทีต่าง ๆ กวาดรางวัลมาได้ไม่น้อย…ถือเป็นค่ายที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัด “เสือน้อยเองก็สนิทสนมกับพวกนักมวยทั้งรุ่นเยาว์รุ่นใหญ่ ก็เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนเล่นหัว วิ่งแก้ผ้ากันมาตั้งแต่เด็ก”

เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนในค่ายก่อนตะโกนทักทายสองสามคำ จึงหันหน้าเดินเข้าบ้านของตัวเอง...

บนบ้านทรงไทยหลังใหญ่ ที่มีการปรับปรุงไปตามวิถีสมัย จากบ้านไม้ใต้ถุนสูงชั้นเดียว ตอนนี้กลายเป็นบ้านไม้สามชั้น สูงเด่นเป็นสง่าในละแวกนี้เป็นอย่างมาก “เคยมีกองละครมาหยิบยืมสถานที่ขอถ่ายอยู่เป็นช่วง ๆ”

ที่เปลี่ยนบ้านเป็นแบบนี้สาเหตุก็มาจากพ่อของเขานั่นเอง หลังจากขายภาพให้ เศรษฐีเมืองคอน ได้ พ่อผันผู้มีอารมณ์ศิลปินเป็นเลิศ ทักษะการเข้าสังคมก็ไม่ใช่เบา จึงมีเพื่อนสนิทมิตรสหายอยู่ไปทั่ว เขาจึงได้ไอเดียขยายบ้านใหม่ด้วยแนวความคิดของตัวเอง และเพื่อนที่เป็นสถาปนิก ช่วยกันร่วมออกแบบ จนกลายเป็นโครงร่างในท้ายที่สุด”

“ตัวบ้านหันหน้าไปทางทิศใต้ แต่มีทางเข้าได้สามทาง” หนึ่งจากทางฝั่งถนนหลวงที่เขากำลังยืนอยู่ อีกหนึ่งก็จากซอยถนนลูกรังที่ห่างจากตัวเขาไปสองสามก้าว สุดท้ายก็คือท่าเทียบเรือ ไว้ใช้เดินทางหรือต้อนรับแขกเหรื่อ

ซอยด้านข้างเป็นที่ดินของครอบครัวเขา แต่เว้นว่างไว้เพื่อเป็นที่จอดรถเวลามีเพื่อนฝูงมาสังสรรค์หรืองานรวมญาติ

ส่วนแปลงที่ดินที่ติดกับบ้านของเขา ตอนนี้เป็นที่ดินกว้างหลายไร่ปลูกพืชผักสวนครัว พร้อมขุนวัวควายไว้ขาย และที่ดินตรงนี้ก็เป็นที่เก่าของปู่ตน ซึ่งปล่อยขายไปนานแล้วเช่นกัน

แม่ของเขาไปมาหาสู่กับลุงป้าเจ้าของสวน ตอนเด็ก ๆ เขาก็วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ในสวนของลุงป้าแกเป็นประจำ

ส่วนทางทิศเหนือ คือด้านหลังบ้าน เป็นชุมชนแออัดที่เสือน้อย “ชอบไปนั่งดูคนตบตีกัน ครั้นเมื่อยามเด็ก” มีทั้งตึกแถวและห้องเช่าเสียเป็นส่วนใหญ่

ที่ดินหลายแปลงนี้ ก็เคยเป็นของปู่ทวดของเขา และได้ขายให้กับ นายหน้าค้าที่ สมัยยังหนุ่ม ๆ …ส่วนบรรยากาศก็ค่อนข้างวุ่นวายเป็นธรรมดา เพราะคนเยอะแยะ มีคนอาศัยอยู่ไม่ขาดสาย ห้องเต็มแน่น บางห้องก็นอนกันหกเจ็ดคนก็มี

เสือน้อยมีเพื่อน ๆ อาศัยอยู่ในชุมชนเหล่านี้มากมาย

พอเดินเข้าไปด้านในบ้าน ก็มีไม้ประดับนานาพรรณ ทั้งไม้มงคลที่ชื่อความหมายดี ๆ เช่น ต้นขนุน ต้นมะยม ต้นคูน …ตามแต่สารพัดการจัดสวนของพ่อ แน่นอนว่าเขาก็ได้ความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ในวงการต้นไม้ ที่แม้แต่เสือน้อยก็ไม่รู้ว่าไปรู้จักกันตอนไหน!

เสือน้อยถอดรองเท้า เตรียมจะขึ้นบันไดไม้ไปยังชั้นสองโดยตรง แต่กลับเหลือบไปเห็นแสงไฟยังส่องสว่างออกมาจากห้องซ้อมดนตรี ที่ชั้นหนึ่งหรือชั้นใต้ถุนเดิม…นอกจากห้องซ้อม ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นห้องนอนรับแขก และห้องเก็บของจุกจิก

ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าพวกงานเกี่ยวกับศิลปะ พ่อของตัวเองมีพรสวรรค์ด้านนี้จริง ๆ …ส่วนตัวเขาเองก็ได้รับถ่ายทอดมาบ้างเล็กน้อย

_____________

อย่าลืมกดติดตามให้ แสดงความคิดเห็น หรือกดหัวใจ

เพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะครับ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel