แค่เด็กใจแตก
ตอนที่ 5
ระหว่างรอสาวน้อยตาสีนิลตื่นจากการเป็นลมหมดสติ ก่อนหน้านั้นเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว หลังจากเจไดอุ้มลูกหว้าเข้ามาทางประตูลับของผับ เพื่อขึ้นไปยังที่พักของเพื่อนซี่งอยู่ด้านบน อีกทั้งยังเป็นที่พักของเจ้าของผับแห่งนี้ และเป็นห้องที่เจไดและเพื่อน ๆ ใช้คุยเรื่องงานและสังสรรค์กันเฉพาะกลุ่มเพื่อน ๆ ที่สนิทกันเท่านั้น…
เมื่อเจไดใช้เท้าถีบประตูเข้าไป คีตะและอาชาที่กำลังนั่งดื่มกันอยู่แทบสำลักออกมาด้วยความตกใจ
ปึ้งงง!!
แค่ก แค่ก!!~
“เฮ้ย ไอ้เจ นี่มึงทำเหี้ยอะไรของมึงวะ?” อาชาพูดขึ้นด้วยความตกใจ
“นั่นดิ แล้วนี่มึงทำไรอะไรเด็กคนนี้เขาถึงได้อยู่ในสภาพนี้วะ กูยิ่งไม่ค่อยถูกกับคนมีสีนะโว้ย มึงอย่าหาเรื่องให้ตำรวจมาที่นี่ ไม่งั้นกูทุบมึงแน่ ไอ้เพื่อนบ้า!!” คราวนี้ คีตะพูดกระแทกกระทั้นกลับไปบ้าง
“กูไม่ได้ทำอะไร” เจไดตอบสั้น ๆ แบบหัวเสีย ก่อนจะวางหญิงสาวลงบนโซฟาราคาแพงเบาๆ
“นี่มึงจะบอกไม่ได้ทำอะไรเด็กคนนี้ ทั้งที่เขาไม่รู้สึกตัวและหมดสติอยู่แบบนี้น่ะเหรอวะ??” อาชาพูดขึ้นบ้าง
“ก็กูไม่ได้ทำไรไงวะ กูก็แค่จูบยัยเด็กบ้านี่แล้วแม่งก็สลบไปเลย กูยังไม่ได้เอาแม่งสักหน่อย!!” เจไดพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสียที่เพื่อนถามเซ้าซี้น่ารำคาญ
“แค่จูบนี่หรอวะเป็นลมหมดสติ??!!” คราวนี้คีตะกับอาชาพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะมองหน้ากันสักพักแล้วหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ!!”
“พวกมึงประสาทรึไง จะหัวเราะกันอีกนานไหม กูรำคาญ!!!” เจไดพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อเพื่อนหัวเราะเสียงดังจนน่ารำคาญ
“แล้วนี่มึงจะเอาไงกับเด็กคนนี้ต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือน้องเขาก็ดังไม่หยุดเลย มึงจะกดรับไหม หรือจะเอายังไง เพื่อนเขาคงเป็นห่วงและสงสัยแย่แล้วมั้ง ที่จู่ ๆ เพื่อนเขาก็หายไปทั้งคนแบบนี้” อาชาพูดขึ้นพร้อมกับจ้องหน้ารอคำตอบจากเพื่อน
“กูว่ามึงจะเอาไงก็เอา แต่ตอนนี้ถ้าไม่รับโทรศัพท์มึงก็ต้องส่งข้อความบอกเพื่อนเขาว่าเด็กคนนี้อยู่ไหน ทำอะไร พวกเขาจะได้ไม่ต้องสงสัย” คีตะพูดขึ้นพร้อมทั้งรีบไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าสะพายข้างของแม่สาวน้อยร้อยเอ็ดออกมา ก่อนจะรีบกดเข้าไปที่แอพพลิเคชันไลน์ ดูสายที่โทรเข้ามาเมื่อกี้ซึ่งเป็นชื่อของกฐิน
“มึงจะทำไร?!” เจไดพูดขึ้น
“กูก็จะช่วยมึงหาทางออกไงวะ ไอ้เกลอ” คีตะตอบคำถามพร้อมกดโทรศัพท์ส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทของลูกหว้า เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงและสงสัย
“ทีนี้มึงจะเอาไงต่อ รอน้องเขาตื่นแล้วพาเขากลับไปส่งบ้านงี้หรอ หรือว่ามึงจะ…..???” คีตะพูดลากเสียงยาว ๆ รอคำตอบจากเจได
“กูก็จะส่งขึ้นสวรรค์น่ะสิ หึ” เจไดตอบสั้น ๆ พร้อมกับลากสายตาคมกริบหันไปมองร่างเด็กสาวที่ไม่ได้สติ แม้แต่ในยามที่เด็กคนนี้หลับเธอก็ยังน่ามอง น่าทะนุถนอมชวนหลงใหล เมื่อนึกไปเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ ริมฝีปากบางนุ่มที่เขาได้สัมผัสมัน ก็ยิ่งชวนให้เค้าอยากสัมผัสและอยากลิ้มลองมันอีกสักครั้ง ว่าจะหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าหรือไม่
“นี่มึงถึงขั้นข่มขืนเด็กทางสายตาเลยหรอวะไอ้เจ กูถามจริงอะไรเข้าสิงมึง ถึงได้เป็นเอามากขนาดนี้?”
อาชาอยากจะรู้คำตอบจากเพื่อน เพราะเขาเองไม่เคยเห็นเพื่อนอย่างเจไดจะมีพฤติกรรมแบบนี้ ปกติแค่กระดิกนิ้วสาว ๆ ก็วิ่งกรูกันเข้ามาให้ได้เชยชมแล้ว จะซื้อกินเท่าไหร่ก็ได้แค่เงินถึง แม้แต่ดาราตัวท๊อปก็พร้อมอ้าขาให้กับเพื่อนของเขา แต่กับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้กลับทำให้เพื่อนเขาคลั่งได้ เพื่อนไอ้คนที่ไม่เคยจู่โจมฉกฉวยโอกาสจากผู้หญิงคนไหน ไม่เคยใช้กำลังบังคับขืนใจผู้หญิงคนไหน มีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าหา แต่กับเด็กคนนี้เขาเห็นแววตาหึงหวงออกมาจากดวงตาเพื่อนของเขา ตอนที่เธอพูดคุยหยอกล้อกันกับผู้ชายที่มาด้วยกันในกลุ่มของเธอตอนที่อยู่ในผับ
“กูก็แม่งไม่รู้เหมือนกันว่ากูเป็นอะไร” เจไดตอบสั้น ๆ ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ออกไปแบบไหนดี เพราะเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าจะบอกว่ารักก็คงจะเร็วไปไหม เพราะเพิ่งเจอกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สองเอง
“อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็เปรียบเสมือนเป็นลูกศิษย์ในมหาลัยกู ถ้ามึงคิดแค่จะเอาเพื่อความมันแล้วเขี่ยทิ้ง มันจะเสียอนาคตเด็กนะเว้ย” อาชาพูดขึ้น เพราะรู้สึกสงสารเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรที่ต้องมาเจอกับไอ้เสือร้ายอย่างเพื่อนของเขา อีกอย่างเด็กคนนี้คงไม่ประสีประสาอะไรสักเท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นการที่โดนเพื่อนเขาจู่โจมจูบแค่นี้ ไม่หมดสติไปนานขนาดนี้หรอก..
“ก็แค่เด็กใจแตกคนหนึ่งที่ทำตัวไร้เดียงสา ผ่านผู้ชายมากี่คนแล้วก็ไม่รู้” เจไดพูดขึ้นอย่างเหยียด ๆ
“เออน่า ยังไงเด็กก็คือเด็กไหมวะ นี่ก็เพิ่งจะจบม.6เอง อายุก็แค่18-19ปี แต่มึง35แล้วนะเว้ย อายุห่างจากเด็ก 16-17ปี มึงจะมาทำตัวเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์แบบนี้ไม่ได้นะเว้ยไอ้เจ”
“ถ้าวันไหนที่มึงเกิดชอบเด็กคนนี้จริง ๆ ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้มึงยังไม่ได้ชอบ มึงก็ควรปล่อยเขาไป อย่าไปทำลายอนาคตเด็กมันเลย” คีตะพูดแสดงความคิดเห็นบ้าง ซึ่งคีตะและอาชาต่างมีความคิดเห็นตรงกัน
“เอางี้ละกัน รอแค่ให้เขาฟื้นแล้วกูจะให้ลูกน้องของกูไปส่งเขาเอง ลูกน้องกูไว้ใจได้กันทุกคน” คีตะได้เสนอความคิดเห็นขึ้น
“ไม่ต้อง!! กูจะพาเธอไปส่งเอง” เจไดพูดขัดขึ้น
“เออ! มึงจะเอาไงก็เอา รู้จักที่พักเขาแล้วหนิ ไปส่งเขาให้ถึงหอพักก็แล้วกัน!” อาชาพูดขึ้นเพราะรู้ดีว่าคนอย่างเจไดถ้าจะสืบประวัติใคร หรือต้องการรู้ที่อยู่ของใคร สามารถทำได้อยู่แล้ว…
พอคุยตกลงกันเสร็จเจไดก็อุ้มลูกหว้าขึ้นในท่าเจ้าสาว พาลงไปที่ลานจอดรถ พอไปถึงก็มีพยัคฆ์ลูกน้องคนสนิทยืนรอเปิดประตูอยู่ก่อนแล้ว
“นายน้อยจะให้ผมพาเธอไปที่ไหนครับ” พยัคฆ์เอ่ยถามผู้เป็นเจ้านายขึ้น
“ไปคอนโด!” เจไดตอบสั้น ๆ หลังจากนั้นพยัคฆ์ก็ขับรถมุ่งตรงไปยังคอนโดของผู้เป็นเจ้านายทันที …
ทางด้านคีตะ หลังจากเจไดได้อุ้มสาวน้อยร้อยเอ็ดคนนั้นออกไปจากผับแล้ว ก็ได้กดโทรศัพท์โทรสั่งให้ลูกน้องตามเจไดไป แล้วให้โทรมารายงานว่าไอ้เสือร้ายเพื่อนรักของเขา พาแม่สาวน้อยคนนั้นไปที่ไหน…
ครืด ครืด
#คีตะ : (ว่าไง)
#ลูกน้อง : (คุณเจไดพาผู้หญิงคนนั้นมาที่คอนโดครับนาย) ลูกน้องคีตะรายงาน
#คีตะ : (อืม) คีตะตอบสั้น ๆ และกดวางสายไป
“กูว่าแล้วว่ะ ว่ามันต้องพาแม่สาวน้อยร้อยเอ็ดนั่นไปคอนโดมัน” คีตะพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปมองหน้ากันกับอาชา
“หวังว่ามันจะไม่ทำอะไรเด็กคนนั้นก็แล้วกัน เพราะถ้ามันทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมา กูกลัวว่าเด็กนั่นคงจะรับมือกับคนป่าเถื่อนแบบมันไม่ไหวแน่ ๆ” อาชาได้พูดพึมพำกับคีตะ
“กูก็ว่างั้น” สองคนได้แต่ส่ายหัวให้กับไอ้เพื่อนจอมเอาแต่ใจของพวกเขา…