6. เทศกาลโคมไฟ
จากที่อวี๋เฟยฮวาเคยบอกเถ้าแก่อย่างฉะฉานว่าของแบบนี้จะเร่งมือมากไม่ได้ เมื่อมีปากท้องที่ต้องหาเลี้ยงเพิ่มขึ้นมาอีกสอง นางจึงต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน ตอนนี้แม้แต่อารมณ์จะเขียนก็ยังไม่มี มีแต่อารมณ์ที่จะต้องเขียนให้ได้ดีเท่านั้น เช่นนี้นางและอาหยางกับอาเยว่จึงจะมีข้าวกินไม่ขาด
อาหยางพาอาเยว่ไปตักน้ำจากลำธารด้านหลัง เขาเดินเข้าอารามร้างมาเห็นพี่หญิงใหญ่ยังคงนั่งหลังขดหลังแข็งเขียนอักษรก็นึกละอายใจขึ้นมา จึงรีบวางถังน้ำลง เดินตรงเข้าไปหา
“พี่หญิงใหญ่ ท่านสอนข้าบ้างได้หรือไม่ ข้าคัดตัวอักษรได้ท่านจะได้เหนื่อยน้อยลงหน่อย”
อาหยางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่ง “พอข้าคัดอักษรเป็น จากหนึ่งเล่มจะได้เป็นสองเล่ม เช่นนี้เราก็จะมีเงินมากขึ้นด้วย”
อาหยางพูดจาฉะฉานแต่อาเยว่กลับยังขี้อายเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ถึงอย่างนั้นนางก็ยังเอ่ยปาก “ใช่เจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่สอนพวกเราเถิดนะเจ้าคะ”
อวี๋เฟยฮวาแย้มยิ้มกว้าง นางวางพู่กันลง บีบนวดฝ่ามือคลายความเมื่อยล้าเล็กน้อยก่อนกวักมือเรียกทั้งสองคนเข้ามาใกล้อีกสักหน่อย จวบจนเด็กฝาแฝดทั้งสองเข้ามาใกล้พอแล้ว อวี๋เฟยฮวาก็จับพวกเขานั่งลงข้างกาย
“อาหยาง อาเยว่ เจ้าฟังข้านะ” อวี๋เฟยฮวาพูดช้า ๆ “การคัดอักษรใช่ว่าข้าจะไม่อยากสอนพวกเจ้า เพียงแต่มันต้องใช้หมึก พู่กันและกระดาษในการฝึก ตอนนี้ข้ายังมีเงินไม่มากถึงเพียงนั้น อีกอย่าง กระดาษพวกนี้ก็เป็นของเถ้าแก่ จะทำให้เสียหายมากไม่ได้ หาไม่แล้วข้าคงไม่ได้ทำงานต่อไปแน่”
อวี๋เฟยฮวาลูบศีรษะเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูอย่างเหลือแสน “ไว้ข้าเก็บเงินได้มากกว่านี้อีกสักหน่อย จะต้องสอนพวกเจ้าคัดอักษรแน่ ไม่ต้องเสียใจไป”
อาหยางคิดตามก็เห็นว่ามันถูกต้องเหมาะสมแล้วจึงพยักหน้า “ทุกอย่างว่าตามพี่หญิงใหญ่”
อาเยว่แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะยึดถือพี่ชายฝาแฝดเป็นหลักเสมอ ตอนนี้มีอวี๋เฟยฮวาแล้ว นางยิ่งเชื่อฟังเข้าไปใหญ่ “เอาตามที่พี่หญิงใหญ่เห็นสมควรเจ้าค่ะ”
“เด็กดี ไปเล่นกันทางนั้นก่อนไป หิวแล้วค่อยมาตามข้า”
ตั้งแต่อวี๋เฟยฮวาเก็บเด็กน้อยมาวันนั้นก็ไม่ได้ไปเหยียบร้านซาลาเปาของท่านป้าผู้นั้นอีก ไม่ใช่ว่านางเกิดรังเกียจท่านป้าขึ้นมาเพียงแต่ไม่สะดวกใจก็เท่านั้น ตอนนั้นท่านป้าตั้งใจจะตีเด็กทั้งสองถึงขั้นตกตายเพียงเพราะซาลาเปาสี่ลูก หากนางไปซื้อมากิน ก็รู้สึกเหมือนกำลังดื่มเลือดกินเนื้ออาหยางและอาเยว่อยู่
หลังจากนั้นมาอวี๋เฟยฮวาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากซื้อเนื้อมาเก็บไว้เล็ก ๆ น้อย ๆ กับแป้งราคาถูกเพื่อทำอาหารง่าย ๆ ส่วนมากแล้วแป้งจะเอาออกมาทำอาหารมื้อใหญ่อาทิตย์ละครั้ง ในวันปกติอวี๋เฟยฮวามักจะต้มโจ๊กเปล่ากินกับผักที่หาได้แถวอารามร้าง แม้จะขัดสนถึงขั้นอับจนแต่ก็ยังมีความสุขดี
อย่างน้อยอวี๋เฟยฮวาก็เชื่อว่าเช่นนั้น
อาหยางเล่นได้พักหนึ่งก็รีบวิ่งกลับเข้ามา เสื้อผ้าเขาเปรอะเปื้อนดินเล็กน้อย แต่ใบหน้าที่เคยซูบซีดเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พี่หญิงใหญ่ เมื่อวานข้าได้ยินจากเด็กในหมู่บ้านว่าพรุ่งนี้จะมีงานเทศกาลที่ตลาดหรือ เราไปดูได้หรือไม่ขอรับ”
อาเยว่เองก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้นเช่นกัน นางไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเปล่งประกายด้วยความคาดหวัง เป็นเช่นนี้แล้วอวี๋เฟยฮวาจะตัดใจปฏิเสธได้อย่างไรเล่า ถึงนางจะวางแผนไว้ว่าวันพรุ่งนี้จะรีบออกไปคัดอักษรลงโคมขาย แต่ตอนนี้คงได้แต่พาเจ้าเด็กซนออกไปเดินเที่ยวเสียแล้ว
อวี๋เฟยฮวาพยักหน้ารับ เอ่ยยิ้ม ๆ “ข้าจะพาไปถ้าพวกเจ้าทั้งสองคนเป็นเด็กดี เข้าใจหรือไม่”
อาหยางพยักหน้าแรง ๆ “ข้ากับอาเยว่จะเป็นเด็กดี ไม่ทำให้พี่หญิงใหญ่ต้องรำคาญใจเป็นเด็ดขาด”
อวี๋เฟยฮวาหัวเราะเสียงดัง “เด็กโง่ ไม่ต้องถึงขั้นทำให้ข้ารำคาญใจหรอก ข้าจะรำคาญใจพวกเจ้าได้อย่างไร แค่อย่าทำให้ตนเองบาดเจ็บตอนละเล่นก็พอแล้ว”
คืนนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเด็กทั้งสองตื่นเต้นจนเกินไปจึงรีบนอนแต่หัวค่ำทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนมักจะมาวนเวียนขอดูอวี๋เฟยฮวาคัดลายมือยามค่ำคืนอยู่เสมอ เห็นอาหยางและอาเยว่เป็นเช่นนั้นอวี๋เฟยฮวาก็ได้แต่อ่อนอกอ่อนใจ นางยกตำราที่คัดไปได้แปดส่วนไปยังข้างหน้าต่าง อาศัยแสงจันทร์ต่างโคมไฟ คัดอักษรจนเสร็จถึงค่อยเดินกลับไปยังกองฟาง กอดเจ้าลิงสองตัวหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน
อย่างน้อยอวี๋เฟยฮวาก็ไม่กังวลใจเรื่องเงินพรุ่งนี้แล้ว หากเอาตำราไปส่ง อย่างไรก็ต้องได้เงินกลับมาบ้าง
ต่อให้เรียกว่างานเทศกาลก็เป็นเพียงการเฉลิมฉลองเล็ก ๆ เท่านั้น งานใหญ่จริง ๆ อยู่ใจกลางเมืองหลวงต่างหาก คนที่มีเงินหน่อยต่างก็พาคนที่บ้านไปเปิดหูเปิดตาที่งานนั้นหมดแล้ว ส่วนคนที่ไม่ค่อยมีเงินทั้งยังไม่อยากไปอย่างอวี๋เฟยฮวาจึงพาน้องชายน้องสาวออกมาร่วมงานเอาบรรยากาศเท่านั้น
อวี๋เฟยฮวาย่อตัวลงจนสายตาอยู่ระดับเดียวกันกับอาหยางและอาเยว่ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ห้ามใครวิ่งออกไปโดยไม่บอกเด็ดขาด หากพวกเจ้าเจอท่านป้าผู้นั้นอีกครั้งหนึ่ง ข้าก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว เข้าใจหรือไม่”
อาหยางพยักหน้า เอ่ยเสียงหนักแน่น “ข้าจะอยู่ข้างพี่หญิงใหญ่ตลอดเวลา ส่วนอาเยว่ ข้าจะจับมือนางไว้เอง”
อวี๋เฟยฮวาร้องเสียงดัง “ดี เป็นเช่นนี้จึงจะดีมาก ถ้าพวกเจ้าเป็นเด็กดีจนถึงงานเลิก ข้าจะซื้อน้ำตาลปั้นให้คนละไม้ ดีหรือไม่”
ได้ยินเช่นนั้นสองแฝดมีหรือจะยังเก็บอาการไว้ รีบพยักหน้ารับเป็นมั่นเหมาะ อาหยางจับมือพี่หญิงใหญ่ของตนไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็คว้าแขนอาเยว่ไว้ แทบไม่กล้าปล่อยมือด้วยกลัวว่าชั่วพริบตาถัดมาน้องสาวจะหายลับไปในหมู่คน อวี๋เฟยฮวาก็ตื่นเต้นเช่นกัน ตอนที่นางยังอยู่ในหออวี้เหริน แม้ใจกลางเมืองหลวงจะจัดงานเทศกาลใหญ่โต แต่นั่นก็มีไว้ให้พวกชาวบ้านกับชนชั้นสูงเที่ยวเล่นเท่านั้น หญิงงามเมืองที่ขายเรือนร่างแลกเงินอย่างพวกนางไม่มีทางได้ออกไปพบปะโลกภายนอกอยู่แล้ว
จะมีก็แต่สาวใช้ที่สามารถเข้านอกออกในได้อย่างหน้าชื่นตาบานจนบางครั้งอวี๋เฟยฮวายังนึกอิจฉาขึ้นมาตงิด ๆ เป็นสาวใช้แม้จะทำงานหนักสักหน่อยแต่อย่างน้อยก็ยังมีอิสระในการเข้าออกทั้งยังมีอิสระในการใช้ชีวิตตามใจตน แตกต่างจากนางโลมโดยสิ้นเชิง