บท
ตั้งค่า

5. ช่วยเหลือสองพี่น้อง

“แม่หนู ลายมือเจ้างามจริง ๆ เล่มก่อนที่เจ้าคัดมาให้ข้าวางยังไม่ถึงชั่วยามก็มีคนซื้อไปแล้ว ทั้งยังมีคนมาถามหาอยู่เรื่อย ๆ เจ้าเร่งมือไม่ได้จริง ๆ หรือ”

อวี๋เฟยฮวาส่ายหน้า “เถ้าแก่ การจะเขียนตัวอักษรให้งดงามต้องใช้สมาธิอย่างมาก หากจะให้ข้าเร่งมือย่อมได้แน่นอน เพียงแต่ลายมือจะไม่สวยเท่าของเก่าเจ้าค่ะ”

เถ้าแก่พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ เขายัดเงินห้าสิบอีแปะใส่มือเด็กหญิงอย่างมีความสุข “งั้นเอาตามที่เจ้าว่าเถอะ นี่เงินของรอบนี้ อีกยี่สิบอีแปะข้าให้เป็นเงินพิเศษ หากเจ้าคัดได้งดงามอีกข้าก็จะให้เจ้าเพิ่มอีก”

เด็กหญิงยิ้มกว้างเสียจนใบหน้าอัปลักษณ์ยับย่น นางเอ่ยเสียงใส “ขอบคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ เล่มต่อไปอีกสองวันข้าจะนำมาส่งให้นะเจ้าคะ”

อวี๋เฟยฮวาทำงานเป็นเด็กคัดอักษรมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว แรก ๆ นางยังได้เงินสามสิบอีแปะอยู่จนได้ยินว่าร้านขายเครื่องเขียนอื่น ๆ กำลังควานหาตัวคนคัดอักษรร้านเถ้าแก่นางลับ ๆ คาดว่าเถ้าแก่น่าจะได้ยินข่าวนี้เช่นกันถึงได้เพิ่มเงินให้นางเป็นพิเศษ คงกลัวว่านางจะถูกแย่งตัวไปกระมัง

อันที่จริงต่อให้เถ้าแก่ไม่เพิ่มเงิน อวี๋เฟยฮวาก็ไม่คิดจะไปทำงานที่ร้านอื่น หนึ่ง ร้านพวกนั้นมักจะให้คนคัดอักษรทำงานที่ร้าน นางเป็นพวกทำงานตามอารมณ์ หากทำงานที่ร้านย่อมต้องถูกกดดันให้คัดอักษรตลอดเวลา เช่นนั้นตัวอักษรที่ได้ก็จะไม่งดงามเท่าตอนที่นางคัดที่อารามร้างเป็นแน่ แต่เรื่องพวกนี้บอกไปก็ไม่เกิดประโยชน์แก่ตนเอง เช่นนั้นเงียบไว้จึงจะดี

แม้จะรู้สึกผิดอยู่หน่อย ๆ แต่เมื่ออวี๋เฟยฮวาเห็นว่าเงินอีแปะที่สะสมไว้เริ่มเยอะขึ้น ความรู้สึกนั้นก็มลายหายไปโดยพลัน นางเดินทอดน่องไปตามทางที่คุ้นเคย เมื่อเลี้ยวผ่านมุมนั้นไปจะเจอกับร้านซาลาเปาของท่านป้าท่านนั้น อวี๋เฟยฮวาขมวดคิ้วลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังตัดสินใจที่จะซื้ออยู่ดี

นางเลี้ยวมุมผ่านร้านผ้าร้านใหญ่ ทันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมา

“นางเด็กหัวขโมย! คืนซาลาเปาของข้ามานะ!”

“อย่าทำน้องข้า!”

เสียงทะเลาะเบาะแว้งหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ดังผสมกับเสียงร้องไห้จ้าของเด็กหญิงทำเอาอวี๋เฟยฮวาเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา นางมุดตามมุมไปเรื่อย ๆ จนสามารถเบียดขึ้นมาอยู่ด้านหน้าได้ในที่สุด ท่านป้าร้านซาลาเปาผู้นั้นยังดุร้ายเหมือนดังเคย มือใหญ่ของนางกำแขนเด็กน้อยผู้หนึ่งไว้แน่น อวี๋เฟยฮวาเขย่งเท้าส่งสายตามอง เด็กคนนั้นมองดูแล้วยังไงก็ไม่มีทางเกินเจ็ดหนาว อีกด้านหนึ่งเป็นเด็กชายที่กำลังร้องไห้เช่นกันแต่กลับยื้อแขนท่านป้าผู้นั้นไว้สุดแรง

อวี๋เฟยฮวาหันมองซ้ายขวา เห็นกลุ่มคนมองดูแต่ไม่มีใครทำท่าจะยื่นมือเข้าช่วยก็นึกสะท้อนใจไม่น้อย ตอนนั้นก็เป็นนางที่ไร้คนเหลียวแลจนเกือบจะถูกจับได้ ถ้าหากตอนนั้นไม่ได้ผู้มีพระคุณช่วยไว้ ป่านนี้นางคงอยู่ในหออวี้เหริน ไร้หนทางพบเจอแสงสว่างตลอดชีวิต

เพราะอวี๋เฟยฮวารู้สึกหดหู่อยู่มากทั้งยังสงสารเด็ก ๆ จึงก้าวเท้าขึ้นหน้า กล่าวเสียงดัง

“ท่านป้า เด็กพวกนี้ทำอะไรหรือ”

ป้าร้านซาลาเปาเห็นอวี๋เฟยฮวามาหลายวัน ย่อมคุ้นเคยกับนางดีจึงเสียงอ่อนลงเล็กน้อย แต่มือยังคงจับแขนเด็กไว้แน่น

“เด็กพวกนี้มันขโมยซาลาเปาข้า ทั้งยังแอบกินไปแล้วลูกหนึ่ง วันนี้ข้าจะตีให้ตายเชียว”

อวี๋เฟยฮวาเหลือบมองสีหน้าเด็กทั้งสองคนเล็กน้อย เด็กหญิงสีหน้าหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด ส่วนเด็กชายแม้จะเจ็บไม่แพ้กันแต่ยังเม้มริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงสะอื้นไว้ ไม่ยอมให้ใครได้ยินเสียงร้องไห้สักนิดเดียว

อวี๋เฟยฮวาถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางถามเสียงเรียบ

“เด็กพวกนี้ขโมยซาลาเปาท่านไปกี่ลูก”

ครั้นได้คำตอบ อวี๋เฟยฮวาก็นับเงินส่งให้ท่านป้าไป นางถึงจะยอมเลิกราในที่สุด ส่วนคนอื่น ๆ เห็นว่าคนที่ก้าวออกมาเป็นเพียงเด็กหญิงเหมือนกัน ทั้งนางยังไม่พ้นวัยปักปิ่นด้วยซ้ำก็เกิดกระดากใจไม่กล้ามองอยู่ต่อจึงรีบเดินหนีกันไปคนละทาง ไม่นานก็เหลือเพียงอวี๋เฟยฮวาและเด็กน้อยสองคนที่กอดกันกลมแน่นอยู่บนพื้น

อวี๋เฟยฮวาอยากจะเดินหนีแต่ก็ทำไม่ได้ นางก้มมองสองอีแปะบนมือ รู้สึกปวดใจกับเงินที่เสียไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงก้าวเท้าเข้าไปหาเด็กทั้งสอง

“นี่ ถ้าพวกเจ้ายังร้องไห้อยู่หน้าร้านนี้อีก ท่านป้านั่นจะออกมาตีเจ้าอีกแน่” อวี๋เฟยฮวายกมือขึ้นป้องปาก

“ข้าเคยโดนมาแล้ว จริง ๆ นะ”

เด็กชายมองนางด้วยสายตาสับสน ครู่หนึ่งเขาเหมือนจะซาบซึ้งใจ อีกครู่หนึ่งก็เต็มไปด้วยความระแวง อวี๋เฟยฮวาแย้มยิ้มบาง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ถ้าพวกเจ้ากินอิ่มแล้วก็ไปเถิด หรือถ้าหากไม่มีที่ไปก็ตามข้าไปที่อารามร้างได้เช่นกัน ที่นั่นไม่มีท่านป้าใจร้ายคอยตีแล้วก็มีที่ให้เจ้านอนด้วย อาจจะไม่อุ่นมากแต่ก็ยังนอนได้”

อวี๋เฟยฮวาไม่ได้เร่งรัดทั้งไม่ได้รั้งรอ นางลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินจากมา เพียงแต่นางก้าวเท้าออกไปยังไม่ทันพ้นเขตตลาด อวี๋เฟยฮวาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ที่เดินตามมาแล้ว นางยกยิ้มเล็กน้อย หันไปหาเด็กทั้งสองด้วยใบหน้าที่ฉายชัดถึงความอ่อนโยน

เพียงแต่ใบหน้าของนางยังคงอัปลักษณ์อยู่ เมื่อยิ้มกว้างเช่นนั้นเด็กทั้งสองจึงผงะถอยหลังไปหลายก้าว อวี๋เฟยฮวาอ้าปากค้าง นางกระทืบเท้าเอ่ยเสียงดังว่า

“พวกเจ้าตามข้ามาแล้วยังจะกลัวหน้าข้าอีกหรือ”

เด็กชายส่ายหน้าน้อย ๆ “ไม่- ไม่ได้กลัว แค่ตกใจ” ส่วนเด็กหญิงเพียงพยักหน้ารับเร็ว ๆ เท่านั้น

อวี๋เฟยฮวาถอนหายใจ นางเอ่ยเสียงเนือย “ช่างเถอะ ตามข้ามาเร็ว ๆ อย่าได้เดินหลงทางไปเสียก่อนเล่า”

อารามร้างอยู่ไม่ห่างจากตลาดมากนัก หากเดินเท้าเพียงครึ่งเค่อก็ถึงแล้ว แต่เพราะอวี๋เฟยฮวายังเป็นเด็ก ทั้งตอนนี้ยังมีเด็กอีกสองคนเดินตามจึงใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งเค่อเต็ม ๆ นางเอื้อมมือผลักประตูไม้ให้เปิดออก ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

“อารามนี้ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว พวกเจ้าอยากอยู่ก็อยู่ได้ตามสบายเลยนะ”

ระหว่างทางที่เดินกลับ อวี๋เฟยฮวาได้หลงลืมความรู้สึกเสียดายเงินไปหมดสิ้นแล้ว นางยื่นมือลูบศีรษะเล็ก ๆ สองสามที “ไหน ๆ พวกเจ้าก็ไม่มีที่ไปแล้ว ข้าก็ไม่มีที่ไปเช่นกัน เช่นนั้นก็มาเป็นพี่น้องกันดีกว่า ข้าเป็นพี่หญิงใหญ่ ข้าจะเลี้ยงดูพวกเจ้าเอง”

เด็กน้อยทั้งสองมองอารามร้างที่มีเพียงอุปกรณ์คัดอักษรและกระดาษวางไว้ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งมีกองฟางและผ้าผืนเล็ก ๆ วางกองไว้พอให้นอนได้ แม้จะไม่ได้อบอุ่นทั้งยังไร้เครื่องเรือนแต่ก็ยังดีกว่าข้างถนนมากนัก

“ข้าชื่ออาหยาง”

เด็กหญิงพูดด้วยใบหน้าเขินอาย “ข้าชื่ออาเยว่”

“ส่วนข้า-”

อวี๋เฟยฮวากำลังจะแนะนำตัว แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางแกล้งเป็นคนความจำเสื่อมอยู่จึงพูดออกไปง่าย ๆ ว่า

“เรียกข้าว่าพี่หญิงใหญ่แล้วกัน” 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel