7. นัดพบ
“พี่หญิงใหญ่ เราเดินไปดูริมแม่น้ำได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสียงอาเยว่ดังขึ้นขัดความคิดฟุ้งซ่าน อวี๋เฟยฮวาหันมองแม่น้ำที่เด็กน้อยยกนิ้วขึ้นชี้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่แม่น้ำอะไร เป็นเพียงลำธารเล็ก ๆ ที่ทอดตัวแตกแยกออกมาก็เท่านั้น เวลานี้คนยังไม่มาก ข้างลำธารจึงยังมีที่ให้พอจับจอง อวี๋เฟยฮวายืนคิดเล็กน้อยเห็นว่าไม่เสียหายอะไรจึงพยักหน้ายอมเดินพาเจ้าลิงสองตัวนี้ไปยืนชะโงกหน้ามองโคม
แม้อาหยางจะพยายามเก็บสีหน้าแต่เขายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง จะยังเก็บสีหน้าได้อย่างไรไหว พอได้มองโคมนาน ๆ เข้าหน่อยก็แย้มยิ้มกว้างรับแสงนวลอ่อนเสียแล้ว ส่วนอาเยว่ยืนอิงแอบอยู่ด้านหลังพี่ชาย นางชะโงกหน้ามามอง เห็นโคมอันไหนสวยเข้าหน่อยก็จ้องตาไม่กะพริบ ทว่าชั่วพริบตาต่อมาเด็กน้อยที่ถูกล่อลวงได้ง่ายก็หันไปสนใจโคมอันอื่นแล้ว
อวี๋เฟยฮวาเอ็นดูอย่างเหลือแสน นางกระซิบเสียงเบา กล่าวว่า “ปีหน้าข้าจะทำโคมให้พวกเจ้าคนละอัน ถึงงานเทศกาลแล้วเราก็มาลอยที่นี่ ดีหรือไม่”
อาหยางพยักหน้าแรง ๆ ครั้งหนึ่ง ส่วนอาเยว่ดีใจจนหัวเราะเสียงดังลั่น ได้ยินเช่นนั้นอวี๋เฟยฮวาก็ยิ่งรู้สึกรักใคร่เด็กน้อยเข้าไปใหญ่ สามพี่น้องยืนชมโคมต่ออีกครู่หนึ่งอวี๋เฟยฮวาก็เห็นแก่เวลา จึงเตรียมตัวพาเด็ก ๆ กลับไปยังอารามร้าง
อาหยางฉุดมือพี่หญิงใหญ่ไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะขลาดเขลาเล็กน้อย “พี่- พี่หญิงใหญ่ น้ำตาลปั้นของพวกข้าเล่า พวกข้าเป็นเด็กดีมาตลอด พี่หญิงใหญ่คงไม่ลืมใช่หรือไม่”
“เจ้าเด็กเห็นแก่กิน”
อวี๋เฟยฮวาดีดหน้าผากเขาไปทีหนึ่ง “ใครจะลืมได้ลง เพียงแต่ร้านในงานเทศกาลไม่ค่อยจะอร่อยสักเท่าไหร่ อีกอย่าง ขายในงานราคาย่อมแพงขึ้นถึงสามส่วน เดินออกไปไกลอีกสักนิดจนเกือบถึงโรงหมอ ตรงนั้นมีร้านน้ำตาลปั้นร้านหนึ่ง ทั้งหอมทั้งหวาน เถ้าแก่ร้านนั้นปั้นน้ำตาลได้หลายรูปเชียว ไปซื้อร้านนั้นจะดีกว่า”
อาเยว่เอ่ยปาก “เถ้าแก่ร้านนั้นปั้นรูปดอกเหมยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมได้แน่นอน”
อาเยว่ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่แล้ว นางหันไปหาพี่ชายตนเอง เขย่ามืออาหยางรัวเร็ว
“พี่รอง เช่นนั้นเราไปร้านนั้นกันเถิด ข้าอยากได้น้ำตาลปั้นรูปดอกเหมย”
อาหยางไม่สนใจอยู่แล้วว่าพี่หญิงใหญ่จะซื้อร้านไหน หรือเถ้าแก่ร้านแถวโรงหมอจะปั้นน้ำตาลได้งดงามกว่าเถ้าแก่ในงานเทศกาล เขาแค่อยากได้รางวัลของตนเองก็เท่านั้น ได้ยินอวี๋เฟยฮวากล่าวเป็นมั่นเป็นเหมาะเช่นนี้มีหรือเขาจะยังมีแก่ใจคิดเรื่องอื่น อาหยางพยักหน้ารับ เดินก้าวประชิดร่างอวี๋เฟยฮวาอีกก้าว
“พี่หญิงใหญ่ เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ประเดี๋ยวร้านจะปิดเอา”
อวี๋เฟยฮวาหัวเราะคิกคักอยู่ในลำคอ นางเดินพาเด็กน้อยของตนเองลัดเลาะไปตามถนนอย่างชำนาญ เมื่อก่อนนั้นอวี๋เฟยฮวายังเคยคิดว่านางคงจะต้องใช้เวลานานมากกว่าจะไปกลับระหว่างอารามร้างและร้านเครื่องเขียนได้ แต่เมื่อนางรู้ทางลัดแล้ว อวี๋เฟยฮวาจึงพาอาหยางและอาเยว่เดินไปตามทางอย่างคุ้นชิน ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา โคมยังไม่ทันได้ลอยขึ้นสูง เด็ก ๆ ทั้งสามก็มาถึงหน้าโรงหมอแล้ว
อวี๋เฟยฮวาชะโงกมองซ้ายขวาเล็กน้อย “เดินไปอีกหน่อยก็ถึงร้านน้ำตาลปั้นแล้ว-” ทว่าในตอนที่นางก้าวเท้าออกไปนั้น รถม้าคันใหญ่ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากทิศทางใดก็แล่นผ่านหน้าไปอย่างกะทันหัน เกือบจะเหยียบนางเข้าทั้งตัว อาหยางและอาเยว่ตกใจจนนิ่งค้างร่างกายแข็งทื่อ
ส่วนอวี๋เฟยฮวา อาจจะเพราะเคยเกือบโดนม้าเหยียบมารอบหนึ่ง นางจึงยังควบคุมอารมณ์ตนเองให้สงบนิ่งอยู่ได้ เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองรถม้าที่หยุดนิ่งไกลออกไปไม่กี่ก้าวด้วยสายตากังขา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พูดออกไปว่า
“ท่านผู้มีพระคุณ?”
เสียงผ้าเสียดสีและเสียงชายผ้าโบกสะบัด ท่ามกลางความมืดมิดในคืนเดือนดับ เหยียนฮ่าวก้าวเท้าลงจากรถม้า เขาถือพัดด้ามจิ้วไว้ในมือก่อนจะขยับมันไพล่หลัง มองอวี๋เฟยฮวาด้วยสายตานึกไม่ถึงอยู่บ้าง
“เหตุใดเป็นเจ้าอีกแล้ว” เหยียนฮ่าวเลิกคิ้ว “อ้อ คงมิใช่เปลี่ยนมาหากินโดยการวิ่งขวางรถม้ากระมัง”
อวี๋เฟยฮวายิ้มแย้ม ยอบกายคำนับ “ยังคงเป็นนายท่านที่ปราดเปรื่อง เพียงแต่ข้ามิได้ยึดถือเอาการกระทำเช่นนั้นมาเป็นอาชีพเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเป็นเด็กคัดอักษรในร้านขายเครื่องเขียน ต้องขอบคุณท่านผู้มีพระคุณที่อุตส่าห์เจียดเงินรักษาข้า ตอนนี้ร่างกายข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ”
เหยียนฮ่าวพยักหน้าช้า ๆ คิดในใจว่าเด็กนี่ไม่เจอกันนานก็ยังพูดมากเช่นเดิม เขาเหลือบสายตาไปทางเด็กฝาแฝดที่หลบไปอยู่ด้านหลังอวี๋เฟยฮวาเล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า
“เจ้ามีน้องชายน้องสาวด้วย?”
อวี๋เฟยฮวายิ้มรับ “เพิ่งจะมีเจ้าค่ะ”
อาหลียืนฟังอยู่นานแล้ว คราแรกเขาก็คิดว่าเด็กหญิงที่นายท่านช่วยไว้ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย เมื่อมาเจออีกครั้งก็ยิ่งยืนยันกับความคิดเขาว่าเด็กนี่ประหลาดมากจริง ๆ ด้วย เหยียนฮ่าวเงยหน้ามองนภาด้านบนครู่หนึ่งก่อนดึงสายตากลับ ดวงตาภายใต้หน้ากากสีนิลคล้ายมองไม่เห็นก้นบึ้ง เขาขยับยิ้มพูดเสียงเบา
“เด็กน้อย เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ แล้ว”
อวี๋เฟยฮวางุนงงถึงขั้นประหลาดใจตาม นางเอียงคอ ถามเขากลับ “ท่านผู้มีพระคุณพูดถึงสิ่งใดกันเจ้าคะ”
“ช่างเถิด อีกสามวันมาพบข้าที่หน้าโรงหมอแห่งนี้ ข้ามีงานให้เจ้าทำ”
อวี๋เฟยฮวาพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ได้เงินมากกว่าห้าสิบอีแปะหรือไม่เจ้าคะ เรียนท่านผู้มีพระคุณ งานของข้าแม้จะเล็กน้อยทั้งยังได้เงินไม่มาก แต่ก็เป็นเงินและสัญญาที่ว่าจ้างไว้แล้ว ไม่อาจบิดพลิ้วเถ้าแก่ได้เจ้าค่ะ”
“สิบตำลึงทอง”
อวี๋เฟยฮวาแย้มยิ้มกว้าง น้ำเสียงเจือความร่าเริงอยู่สองส่วน “อีกสามวันให้ข้ามาพบยามใดดีเจ้าคะ”
“ปลายยามซื่อ (09:00 – 10:59 น.) แล้วกัน”
ได้ยินเช่นนั้นอวี๋เฟยฮวาก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องรั้งคนไว้อีก นางขยับกายไปอีกทาง โค้งกายทำความเคารพอย่างแสนนอบน้อม
“เชิญท่านผู้มีพระคุณเจ้าค่ะ”
เหยียนฮ่าวยกพัดด้ามจิ้วขึ้นปิดบังริมฝีปาก เขาหันไปได้เล็กน้อยก่อนจะผินหน้ากลับมา “ต่อไปเรียกข้าว่านายท่าน”
“เจ้าค่ะ นายท่าน”