3. กลบความงาม
ภายในรถม้าคันโต เหยียนฮ่าวนั่งอยู่ด้านในนั้น ส่วนด้านนอกมีอาหลางและอาหลีสองพี่น้องนั่งบังคับรถม้าอยู่ด้วยกัน มือข้างหนึ่งถือตำราเล่มหนาเอาไว้แต่สายตาเขากลับอ่านไม่รู้เรื่องสักตัวอักษร ในหัวยังคงวนเวียนนึกถึงเรื่องที่อาหลางเพิ่งจะรายงานไปเมื่อไม่นานมานี้
เขาเข้ามาเมืองหลวงเพราะต้องการประมูลเห็ดน้ำค้างหยกตัวยาสำคัญ แต่เพราะมีเรื่องเด็กนั่นเข้ามาขวางไว้ สุดท้ายเขาติดใจสัญลักษณ์บนข้อมือนั่นเหลือเกินจึงไม่ได้เข้าร่วม ทำให้รอดพ้นการสังหารหมู่มาได้อย่างหวุดหวิด
สำนักดับตะวัน แน่นอนว่าเขาย่อมต้องรู้จัก ใครบ้างจะไม่รู้จักสำนักที่ทะเยอทะยานอยากต้องการเป็นอันดับหนึ่ง เพียงแต่สำนักนี้ออกจะใช้วิธีที่ผิดแปลกไปสักหน่อย สำนักอื่นต้องการเบียดขึ้นเป็นที่หนึ่งยังเอาฝีมือมาสู้ แต่สำนักนี้นอกจากจะไม่ทำเช่นนั้นแล้วยังกระทำเรื่องเลวทรามอย่างการเข่นฆ่าศิษย์สำนักอื่นอยู่เสมอ
เพียงแต่เรื่องในครั้งนี้ออกจะเกินเลยไปมากนัก คงคิดว่าวางยาพิษแล้วจะหนีรอดไปได้กระมัง
เหยียนฮ่าวปิดตำราในมือลง เขาขยับกายเอนหลัง เรียกคนสนิทเสียงเบา
“อาหลาง”
ไม่ถึงชั่วพริบตา อาหลางก็มุดเข้ามาภายในรถม้าแล้ว “ขอรับ นายท่าน”
“เจ้าเอาเรื่องที่สำนักดับตะวันลงมือลับ ๆ ตลอดสามปีมานี้ไปแจ้งให้สำนักอื่น ๆ รับรู้ จะปกปิดว่าใช่หรือไม่ใช่เราก็ได้”
อาหลางพยักหน้ารับ รับคำเสียงเบา “ข้าจะจัดการให้เสร็จภายในสามวันขอรับ”
“ดี”
อาหลางออกไปไม่นานรถม้าก็หยุดอยู่หน้าหอข่าวขนาดใหญ่ เบื้องหน้าเป็นโรงสุราขึ้นชื่อของเมืองหลวง แต่เบื้องหลังกลับค้าข่าวทุกอย่างแล้วแต่ว่าคนจ้างจะมีเงินเท่าใด เหยียนฮ่าวทางหนึ่งเป็นจ้าวหุบเขา อีกทางหนึ่งขยายเส้นสายไปทั่วทั้งใต้หล้า หวังเพียงของสิ่งเดียว
เขายกมือขึ้นแตะหน้ากากเล็กน้อย เมื่อแน่ใจแล้วว่ามันปกปิดแผลเป็นไว้ดีแล้วจึงค่อยก้าวลงจากรถม้า เดินหายลับเข้าไปด้านใน
อวี๋เฟยฮวาไม่เคยออกจากหออวี้เหรินมาก่อน แต่นางก็ยังพอรู้จักที่ทางตามคำบอกเล่าของสาวใช้ในหอ นางเดินออกจากโรงหมอหลังจากเหยียนฮ่าวจากไปไม่นาน อวี๋เฟยฮวาหันมองซ้ายขวา นางคลำเอาจากความทรงจำจึงพอรู้ว่านี่เป็นเขตชานเมือง ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนัก ส่วนมากแล้วจะเป็นวัด สถานที่ฝังศพไร้ญาติและอารามร้างเสียมาก
หากเป็นเด็กหญิงคนอื่น ๆ จะต้องกลัวบรรยากาศวังเวงนี่เป็นแน่ แต่อวี๋เฟยฮวาไม่กลัวสักนิด สิ่งเดียวที่นางกลัวคือการถูกจับกลับไปยังหออวี้เหริน เพราะฉะนั้นแล้วต่อให้เป็นอารามร้างที่บานประตูผุพังทั้งยังไร้หน้าต่างบดบังแรงลมในยามค่ำคืน แต่อวี๋เฟยฮวาก็ยังรู้สึกว่าที่นี่น่าอยู่มากนัก น่าอยู่เสียยิ่งกว่าห้องของนางในหออวี้เหรินเสียอีก
นางเดินลัดเลาะสำรวจไปรอบ ๆ อารามร้างอย่างสนอกสนใจ จนเดินมาเจอลำธารแห่งหนึ่ง
อวี๋เฟยฮวาก็ถึงกับดีใจจนเนื้อเต้น นางรีบถอดรองเท้าปอน ๆ ของตนเองออกก่อนจะถอดชุดคลุมตัวยาวที่เปื้อนฝุ่นและคราบดินจนมองสีเดิมแทบไม่ออกไว้ด้านข้าง เด็กหญิงค่อย ๆ ก้าวขาลงน้ำ ก่อนขัดถูผิวกายเขรอะของตนเองอย่างสบายอารมณ์
แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นไม่เหมาะกับเด็กหญิงเช่นนางแม้แต่น้อย แต่อวี๋เฟยฮวาก็ยังดื่มด่ำกับสายน้ำจนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามนางถึงจะตัดใจลุกออกจากลำธารได้ อวี๋เฟยฮวาใช้สายน้ำต่างคันฉ่อง นางดูเงาตนเองผ่านผืนน้ำสีใสก่อนถอนหายใจ
“ข้าคงใช้ชีวิตกับใบหน้าแบบนี้ไม่ได้”
ไม่ใช่เพราะมันอัปลักษณ์เกินไป แต่เพราะมันงดงามเกินไปต่างหาก คราแรกที่นางถูกจับไปยังหออวี้เหรินก็เพราะใบหน้านี้เกิดถูกใจท่านแม่อู่ฉานเข้า นางถึงขั้นหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้นางขึ้นเป็นบุปผาเอกคนต่อไปแทนที่พี่สาวเหมยหลันที่เพิ่งถูกไถ่ตัวออกไปไม่นาน
อวี๋เฟยฮวานอนอยู่ข้างห้องพี่เหมยหลันมานาน เรื่องทุกข์ตรมอันใดของเหมยหลันนางล้วนล่วงรู้ทั้งหมด เช่นนั้นแล้วทำไมนางยังต้องเดินตามรอยเหมยหลันด้วย เพราะคิดได้เช่นนี้เองอวี๋เฟยฮวาจึงพาตนเองออกมาจากเงื้อมมือหออวี้เหรินได้ในที่สุด
แม้จะถูกคนผู้นั้นช่วยไว้ก็เถอะ แต่อย่างไรเรื่องราวก่อนหน้ามันล้วนเป็นเพราะนางหนีออกมาเองต่างหาก
ตั้งแต่อวี๋เฟยฮวาใช้ชีวิตอยู่ในหออวี้เหรินนางก็ระมัดระวังตัวมาโดยตลอด ยิ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่ในหอแล้วยิ่งต้องระมัดระวังตัวให้มาก ในสายตาผู้อื่น หญิงนางโลมมักจะเป็นสตรีที่มีดีแค่ใบหน้าแต่สติปัญญาโง่งมใช้การอันใดไม่ได้ แท้จริงแล้วพวกนางต่างถูกสอนให้เอาใจบุรุษโดยเฉพาะ และร่ำเรียนเรื่องต่าง ๆ ไว้เพื่อพูดคุยไม่ให้คนเกิดรู้สึกเบื่อหน่าย เพียงแต่เรื่องพวกนั้นมีไว้คุยกับบุรุษ มิได้มีไว้คุยกับสตรี พวกนางจึงไม่เคยเอ่ยปากกับหญิงสาวด้วยกัน
อวี๋เฟยฮวาค้นความทรงจำยามเรียนวิชาสมุนไพรขึ้นมา นางเดินหาอยู่พักใหญ่จนได้สมุนไพรมากำหนึ่ง เด็กน้อยไม่รอช้า รีบจับมันบดกับรากไม้ใกล้ ๆ ครั้นได้เศษสมุนไพรหยาบ ๆ แล้วก็เอาไปผสมกับน้ำ ปาดคราบดำ ๆ ขึ้นมาทาบนใบหน้า อวี๋เฟยฮวาจัดแจงอยู่ครู่หนึ่งก็ชะโงกหน้ามองลำธารอีกรอบหนึ่ง
เห็นใบหน้าตนเองดูไม่ได้เช่นนี้นางถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ เอ่ยว่า “เช่นนี้ก็ไม่โดนเพ่งเล็งแล้ว”
จากนั้นจึงเดินกลับอารามร้างอย่างมีความสุข อวี๋เฟยฮวาค้นเอากองฟางเก่า ๆ มาได้สองสามกอง นางวางมันห่างออกจากผนังหินเย็นเฉียบเล็กน้อย ค่อยซุกตัวลงนอน หลับใหลไปด้วยความเหนื่อยอ่อน