2. ความจำเสื่อม
อวี๋เฟยฮวาคิดว่าตนเองตายไปแล้ว ตอนที่นางลืมตาขึ้นและได้กลิ่นยาที่ตลบอบอวลไปรอบห้อง นางก็ยังเชื่อเช่นนั้นอยู่
บางทีนี่อาจจะเป็นกลิ่นน้ำแกงยายเมิ่ง
อวี๋เฟยฮวาพยักหน้ากับตนเอง นางตั้งใจจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้งหนึ่งแต่กลับได้ยินเสียงพูดขึ้นที่ข้างหูแทน
“ตื่นแล้วก็ลุก”
อวี๋เฟยฮวาขมวดคิ้วแน่น หลุดปากโดยไม่ได้ตั้งใจ “ข้ายังไม่ตายหรือ?”
“ถ้าหากอยากตายมากปานนั้น ข้าเอาเจ้ากลับไปคืนที่เก่าก็ได้”
เพียงเท่านั้นอวี๋เฟยฮวาก็เด้งกายลุกขึ้นทันที นางยกยิ้มกว้างอย่างเป็นธรรมชาติ มือประสานอยู่ที่หน้าท้องอย่างคนที่ได้รับการสั่งสอนมารยาทมาอย่างดิบดี อวี๋เฟยฮวาค้อมศีรษะเล็ก ๆ ลงต่ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแว่วหวาน
“ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีนามอันสูงส่งว่าอันใดเจ้าคะ หากมีโอกาส ข้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
อวี๋เฟยฮวาไม่ได้ยินเสียงตอบกลับก็นึกว่านางทำให้ผู้มีพระคุณไม่พอใจเสียแล้วจึงรีบเงยหน้าขึ้น แต่เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงในสายตา อวี๋เฟยฮวาก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป
ใบหน้าของคนผู้นั้นครึ่งหนึ่งใส่หน้ากากสีดำสนิทปิดบังใบหน้าไว้ เส้นผมสีดำสนิทดุจปีกการวบเป็นมวยขึ้นสูงสวมกวานทองมองดูแล้วสูงศักดิ์ไม่น้อย ตามเนื้อตัวนอกจากผ้าไหมสีดำปักดิ้นทองเป็นลวดลายเมฆาและพยัคฆ์ที่นางพอจะมองออกแล้ว อย่างอื่นอวี๋เฟยฮวาก็อธิบายบุรุษผู้นี้ไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าเขาดูไม่เป็นมิตรยิ่ง
อวี๋เฟยฮวาเข้าไปอยู่ในหออวี้เหรินตั้งแต่สิบหนาว คนจำพวกนี้นางเห็นมามากมายจนชินตาเสียแล้ว ยิ่งยกยอปอปั้นคนพวกนี้ก็จะยิ่งหลงระเริง เช่นนี้ก็ไม่ป้อยอแต่แรกจะยังดีกว่า คิดได้ดังนี้นางก็ยกยิ้มกว้าง เอ่ยต่อไปโดยไม่อนาทรร้อนใจว่า
“ท่านผู้มีพระคุณไม่อยากเอ่ยชื่อเช่นนั้นก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าขอซาลาเปาสักลูกได้หรือไม่เจ้าคะ พระคุณนี้ข้าจะเก็บไว้ในใจ ถ้าหากมีทางตอบแทนย่อมต้องลงมือทำอย่างแน่นอน”
อาหลียืนอยู่ด้านหลังห่างออกไปไม่ไกลนัก เขายืนเงียบ ๆ ไม่ได้ส่งเสียงอันใด แต่เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยผู้นี้ก็เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา ถึงขั้นทนไม่ไหวต้องเงยหน้าขึ้นมอง อาหลีมองซ้ายครั้งหนึ่ง มองขวาครั้งหนึ่ง แต่ไม่ว่าเขาจะมองยังไงก็เห็นเพียงเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาคนหนึ่ง เช่นนี้แล้วนางกล่าวประโยคยาวยืดพวกนั้นได้อย่างไรกัน?
ใบหน้าภายใต้หน้ากากยังคงเรียบนิ่ง ดวงตาสีน้ำหมึกมีประกายวาบผ่าน เขาหลุบสายตามองสัญลักษณ์เล็ก ๆ บริเวณข้อมือบางเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก
“อาหลี ไปซื้อซาลาเปามาสองลูก”
“ขอรับ นายท่าน”
อวี๋เฟยฮวาเห็นอาหลีพูดเช่นนั้นนางจึงเลียนแบบบ้าง เอ่ยเสียงแผ่วเบาราวลูกแมวว่า
“ขอบคุณเจ้าค่ะ นายท่าน”
คล้ายกับไม่อยากรออีกต่อไป ชายสวมหน้ากากจึงพูดขึ้นมาทันที “สัญลักษณ์บนข้อมือเจ้า ได้มาได้อย่างไร”
อวี๋เฟยฮวาตีสีหน้างุนงง นางเอียงคอก่อนยกข้อมือตนเองขึ้นมอง บนผิวกายกระดำกระด่างมีรอยขีดเล็ก ๆ อันหนึ่งสลักไว้ มันจางมากเสียจนถ้าไม่เพ่งสายตามองก็คงจะไม่เห็น ตอนที่ยังอยู่หออวี้เหริน
อวี๋เฟยฮวามักจะใช้แป้งผัดหน้าปกปิดมันไว้เพื่อเลี่ยงคำซักถาม
นางขมวดคิ้วอย่างยุ่งยากใจ ในเวลาสำคัญเช่นนี้เหตุใดคนคนนี้ถึงได้ตาดีถึงปานนี้กัน แม้ในใจจะพร่ำบ่นแต่ปากยังคงขยับตอบ
“เรียนนายท่าน ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะว่าได้มาได้อย่างไร”
“เจ้าชื่ออันใด”
“เรียนนายท่าน เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ไม่ทราบ?” ชายสวมหน้ากากเลิกคิ้วขึ้นสูง เขาถามต่ออย่างอดทน “เช่นนั้นบิดามารดาเจ้าเล่า อยู่ที่ใด”
“เรียนนายท่าน ไม่ว่าจะบิดามารดาหน้าตาเป็นอย่างไรหรือชื่ออันใด ข้าล้วนจำไม่ได้สักอย่างเจ้าค่ะ ชื่อตนเองข้าก็จำไม่ได้ หากท่านจะถามว่าข้าจำอันใดได้บ้าง ก็ขอตอบท่านด้วยความสัตย์จริงว่านอกจากม้าตัวนั้นที่พยายามฆ่าข้าแล้ว ข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าจำได้เยอะมากสำหรับคนที่จำไม่ได้นะ”
อวี๋เฟยฮวายกยิ้มกว้างขวาง ตอบอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณนายท่านที่กล่าวชมเจ้าค่ะ”
ชายสวมหน้ากากยังไม่ทันได้เปิดปาก อาหลีก็กลับมาแล้ว เขาไม่ได้กลับมาคนเดียวแต่กลับมาพร้อมกับบุรุษรูปร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่ง อวี๋เฟยฮวาได้ยินคนผู้นั้นเรียกตนเองว่าอาหลางราง ๆ นางไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงรับซาลาเปาไส้เนื้อสับจากมืออาหลี ยัดเข้าปากด้วยความหิวโหย
อาหลางเดินเข้าไปใกล้เจ้านายก่อนโน้มใบหน้าลงต่ำ เอ่ยเสียงกระซิบ “นายท่าน เมื่อวานหอประมูลเกิดเรื่องขอรับ คนที่เข้าร่วมประมูลต่างตกตายด้วยพิษฝีมือสำนักดับตะวัน ตอนนี้ทุกสำนักรวมถึงพรรคกำลังรวบรวมคนตามไปที่สำนักดับตะวันเพื่อล้างแค้นขอรับ”
ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้วแน่น ถามเสียงเข้ม
“ตายหมดเลยหรือ”
“ทั้งหมดขอรับ เป็นพิษเก่าแก่ที่รู้กันภายในสำนักดับตะวัน ไม่มียาถอนพิษทั้งไม่มีสีไม่มีกลิ่น กว่าจะรู้ตัวว่าถูกพิษก็สายเกินแก้ขอรับ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
อาหลางถอยออกไปยืนด้านหลัง อวี๋เฟยฮวาเหลือบสายตามองเล็กน้อย ชายสวมหน้ากากยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้านซ้ายมีอาหลีส่วนด้านขวามีอาหลาง มองดูแล้วเขาไม่ต่างจากเหยียนหลัวหวางใต้พิภพเลยสักนิด อวี๋เฟยฮวาลอบยิ้มกับความคิดตนเอง นางกินซาลาเปาติด ๆ กันสองลูกจนรู้สึกว่าคอแห้งเหลือประมาณถึงได้หันไปหยิบกาน้ำชายกขึ้นกรอกปาก
ท้องก็อิ่มแล้ว น้ำก็ดีแล้ว อาการที่เคยเป็นต่างหายไปช้า ๆ แม้จะไม่ได้รู้สึกดีมากสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยต้องดีกว่าเมื่อวานแน่ อวี๋เฟยฮวาเลื่อนกายลงจากเตียง แต่เพราะนางยังโตไม่เต็มที่ทั้งขายังสั้นอยู่หน่อย ๆ จึงเกือบจะสะดุดปลายเตียงล้มหน้ากระแทกพื้น ยังคงเป็นชายสวมหน้ากากที่ขยับพัดด้ามจิ้วยันหัวไหล่บอบบางเอาไว้ อวี๋เฟยฮวาจึงรักษาหน้าไว้ได้ด้วยประการฉะนี้
นางยันกายขึ้นเต็มความสูง เอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ขอบคุณนายท่านที่ให้ความช่วยเหลือเจ้าค่ะ ภายภาคหน้าข้าจะต้องตอบแทนนายท่านอย่างแน่นอน”
ชายสวมหน้ากากมองร่างแคระแกร็นทั้งใบหน้ามอมแมมมองไม่ได้ของเด็กหญิงครั้งหนึ่งก็เบนสายตาออก เขาผุดลุกขึ้นยืนหมุนกายเดินออกจากโรงหมอไป
“ช่างเถอะ ข้าไม่ได้เก็บเอามาถือเป็นบุญคุณอันใด”
อวี๋เฟยฮวารับคำในลำคอเบา ๆ นางเงยหน้าขึ้นทันเห็นชายเสื้อคลุมสีดำสนิทพลิ้วไหวกลางอากาศหายไปภายในพริบตา นางไม่ได้คิดอันใดมากเพียงแต่เป็นสุขเหลือเกินที่ตอนนี้ได้รับอิสระคืนแล้ว ไม่ต้องตื่นแต่เช้าคอยรับใช้พวกพี่ ๆ นางโลมอีกต่อไป ไม่ต้องทนมองเรื่องอุจาดตาทั้งยังถูกบังคับให้จดจำนั่นเอง
อวี๋เฟยฮวาก้าวเท้าออกจากโรงหมอ นางหันมองทางนั้นทีทางนี้ทีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้อากาศด้านนอกก็ดีเช่นนี้เอง”
ขอเพียงนางหางานเลี้ยงชีพได้ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอดอยากแล้ว!