บท
ตั้งค่า

1. ต้องหนีให้ได้

อวี๋เฟยฮวากำลังสับเท้าวิ่งอย่างเต็มความสามารถ มากเท่าที่ขาสั้น ๆ ของเด็กหญิงวัยสิบสองจะเอื้ออำนวยให้นางได้ ด้านหลังยังได้ยินเสียงไล่กวดตามมาไม่ห่าง ท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยผู้คน แม้จะมีผู้คนเมียงมองด้วยความสนใจแกมสงสาร แต่หาได้มีผู้ใดกล้าขยับเท้าขึ้นหน้ากวักมือเรียกช่วยนางเลยสักคน

อวี๋เฟยฮวากัดฟันแน่น นางไม่คิดจะพึ่งพิงคนอื่น มาถึงป่านนี้แล้ว มีแต่นางต้องพึ่งสองขาและแรงกายเท่านั้นถึงจะรอดพ้นเงื้อมมือผู้คุมกฎหอนางโลมไปได้ อวี๋เฟยฮวาอาศัยว่าตนเองยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ ยังไม่โตเต็มที่มุดลอดผ่านช่องว่างผู้คนกลุ่มใหญ่ไปเรื่อย ๆ แม้จะทำให้เสียพลังงานไม่น้อยแต่นางก็ยังต้องทำ ผู้คุมกฎหอนางโลมมีแต่พวกนักเลงโตวางก้าม ถ้านางถูกคนพวกนั้นจับกลับไปได้จะมีอะไรรออยู่ก็สุดรู้

“จับนางเด็กนั่นไว้ให้ได้!”

อวี๋เฟยฮวาใจหายวาบ นางผินหน้ากลับไปมองเล็กน้อย เห็นบุรุษตัวใหญ่วิ่งตามนางมาถึงสามคน หนึ่งในนั้นยังถือไม้พลองอันใหญ่ไว้ เพียงแค่เหลือบสายตาเห็นก็ทำเอาร่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ไม้พลองนั่นเป็นของที่หอนางโลมทำไว้เพื่อลงโทษเด็กที่ไม่เชื่อฟัง คนที่โดนประจำก็คืออวี๋เฟยฮวาผู้นี้

ไม่ฝึกขับร้อง โดนโบยสามครั้ง ไม่ฝึกร่ายรำจะโดนอีกสามครั้ง แต่ถ้าหากไม่ยอมฝึกเรื่องในม่านมุ้ง จะโดนโบยหนักถึงยี่สิบที

วันเวลาโหดร้ายคล้ายต้องการพรากชีวิตผู้คนเช่นนั้น อวี๋เฟย ฮวาไม่ขอพบเจออีกต่อไป นางต้องหนีให้ได้

“หลบไป!”

เสียงตะโกนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้เด็กหญิงไม่ประสีประสาคนหนึ่งร้อนใจมากขึ้น อวี๋เฟยฮวาวิ่งเตลิดไปทางนั้นทีทางนี้ที แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจสลัดคนกลุ่มนั้นไปได้เสียที นางวิ่งขึ้นเหนือ ตรงไปยังประตูเมืองด้วยความสิ้นหวัง อย่างน้อยวิ่งไปพบปะทหารสักคนอาจจะดีกว่าต้องวิ่งหนีโดยไม่รู้จุดสิ้นสุดก็ได้

และเพราะนางวิ่งไม่ได้มองทางเช่นนั้น ตอนที่อวี๋เฟยฮวาเหยียบย่างลงบนถนนเส้นหนึ่งซึ่งทอดตัวจากประตูเมืองตรงไปยังใจกลางเมืองหลวง เด็กน้อยที่ไม่ได้ตั้งใจมองให้ดีจึงโผล่พรวดออกไปตรงหน้าม้าลากรถตัวใหญ่ มันตกใจเด็กหญิงจนหยุดชะงักฝีเท้ายกตัวขึ้นสูงจนเกิดเป็นเงามืดสายหนึ่งทาบทับ

อวี๋เฟยฮวาไปทั้งร่าง

เด็กน้อยแหงนหน้าจนสุดคอ มองม้าสีนิลตัวใหญ่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ ในตอนนั้นอวี๋เฟยฮวายังคิดไปว่านางจะต้องสิ้นชีพอยู่ตรงนี้แน่แล้ว เมืองหลวงเป็นสถานที่กลืนกินผู้คน หากเจ้ามีเงิน เจ้าจะได้รับทุกอย่าง แต่ถ้าหากเจ้าไม่มีแม้แต่อีแปะเดียว เจ้าก็จะได้รับเพียงเสียงก่นด่าและคราบน้ำลายเท่านั้น

อวี๋เฟยฮวาตกใจเสียจนหงายหลังลงพื้น นางยังไม่ทันได้กรีดร้องด้วยซ้ำไป หัวใจเด็กน้อยเต้นกระหน่ำจนเกรงว่ามันจะหลุดออกมาจากอกเล็ก ๆ นั่น อวี๋เฟยฮวาวิ่งมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ทุกครั้งที่ลงฝีเท้า นางยังรู้สึกได้ถึงภาพตรงหน้าที่พร่ามัวมากขึ้นทุกขณะ ประกอบกับการที่โดนทำโทษอดอาหารมาสามวันติด ๆ เมื่อเจอเรื่องบีบคั้นถึงเพียงนี้ ร่างกายจึงรับไม่ไหวอีกต่อไป ล้มลงเป็นลมไปทั้งอย่างนั้น

คนขับรถม้าขมวดคิ้วแน่นด้วยความขัดใจ ไม่มีสักเสี้ยวที่รู้สึกสงสารหรือเห็นใจเด็กน้อยสักนิด เขาชะโงกหน้ามองเด็กหญิงในชุดเสื้อผ้าปอน ๆ กับเส้นผมกระเซอะกระเซิงเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาด ๆ เห็นเท่านี้คนขับรถม้าก็คิดในใจไปแล้วว่าต้องเป็นคนที่หนีออกมาจากหอนางโลมแน่นอน เขาจึงไม่ได้สนใจอันใดอีก เพียงหันหน้าไปทางด้านในรถ กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า

“นายท่าน เมื่อครู่มีเด็กวิ่งตัดหน้ารถม้า ตอนนี้เป็นลมไปแล้ว ข้าน้อยจะอ้อมไปอีกทางขอรับ”

“เสียเวลามากกว่าเดิมหรือไม่”

คนขับรถม้าขบคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “ครึ่งเค่อขอรับ”

“เหยียบคน ไม่ต้องอ้อม”

“ขอรับ นายท่าน”

ตอนนั้นเองที่กลุ่มนักเลงวิ่งพรวดพราดตามมาทัน พวกมันกำลังจะอ้าปากด่าก็ได้ยินเสียงสนทนาของนายบ่าวคู่นั้นเสียก่อน หัวหน้ากลุ่มนักเลงที่ถือไม้พลองไว้ถึงขั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แม้เจ้าเด็กนี่จะหนีออกมาจากหอนางโลมทำให้พวกเขาต้องวิ่งตามจับเป็นครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่คิดจะลงไม้ลงมือด้วย อย่างไรก็เป็นบุปผาดวงน้อยที่ท่านแม่อู่ฉานตั้งใจจะปลุกปั้นเองกับมือ หากตอนนี้ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่ตายตกไป มีหวังพวกเขาต้องได้สิ้นลมตามไปด้วยแน่

“ประเดี๋ยวก่อน! ประเดี๋ยวก่อนขอรับ!” นักเลงโตไม่สนใจเรื่องอื่นแต่รีบถลันหน้าออกไปขวางระหว่างม้ากับเด็กน้อยไว้ มันเหลือบมองม้าและรถม้าเล็กน้อย เห็นว่าเป็นม้าพันธุ์ดีและรถม้าที่ทำจากไม้สูงค่าก็ไม่กล้ารอช้า รีบเอ่ยปาก

“ประเดี๋ยวก่อนขอรับนายท่าน เด็กคนนี้เป็นคนของพวกข้า ขอนายท่านโปรดอภัย อย่าต้องถึงขั้นเลือดตกยางออกเลยขอรับ”

คนขับรถม้ามองนักเลงด้วยสายตาเรียบนิ่งไร้อารมณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกนักเลงก็ไม่กล้าขยับเช่นกัน จนคนด้านในรถม้าต้องเป็นผู้เอ่ยปาก

“เช่นนั้นก็รีบพาคนของเจ้าออกไปเสีย”

นักเลงตัวใหญ่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มันรีบโค้งศีรษะเอ่ยขอบคุณไม่ขาดปากก่อนจะกุลีกุจอรีบอุ้มร่างเล็กจ้อยขึ้น นักเลงผู้นั้นยิ้มกว้างขวางจนเห็นไรฟันชัดเจน ทว่าตอนที่พวกมันแบกสินค้าของหอ

อวี้เหรินผ่านหน้ารถม้าไปนั้น เสียงร้องเรียกแผ่วเบากลับตรึงขาไว้แน่น ไม่สามารถขยับแม้แต่ครึ่งก้าว

“เด็กนั่น-” น้ำเสียงคนในรถม้าดูคลางแคลงใจไม่น้อย

“เป็นเด็กของพวกเจ้าหรือ”

นักเลงโตเหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มใบหน้า ไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดี หากจะบอกว่า อ้อ เป็นเด็กของพวกข้าจริงขอรับ เพียงแต่ตอนนี้ยังเด็กไปสักหน่อย รออีกสักสามสี่ปีนายท่านค่อยมาเยี่ยมเยียนหออวี้เหรินของพวกเราเป็นอย่างไร

ตอบเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน แต่จะตอบทำนองว่าเป็นบุตรสาวบ้านข้าก็คงจะไม่ได้อีก นักเลงผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็เคยใช้แต่กำลังข่มขู่ผู้คน เมื่อเจอคนที่ข่มขู่ไม่ได้ วิ่งหนีไม่ได้ทั้งยังสู้ไม่ได้เช่นนี้ก็เกิดโง่งมขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบสนองแบบใด

“ขอรับ นายท่าน”

เสียงนั้นเงียบไปแล้ว รออยู่นานสองนานก็ยังไม่มีใครตอบกลับจนพวกนักเลงเริ่มวางใจกำลังจะก้าวเท้าออกไปให้พ้นบริเวณรถม้าก็ได้ยินคนด้านในพูดขึ้นอีกครั้ง

“อาหลี เอาเด็กมา ที่เหลือฆ่าให้หมด”

เสียงตอบรับอย่างแข็งขันของอาหลี คนที่เหลือก็ไม่ได้ยินแล้ว ภายในเส้นทางเดินรถม้านอกเขตพลุกพล่าน เกิดการต่อสู้เล็ก ๆ ขึ้น ไม่ถึงชั่วจิบชา นักเลงที่เคยภูมิอกภูมิใจนักหนากับฝีมือต่อสู้ของตนต่างล้มเป็นใบไม้ร่วง อาหลีผู้นั้นช้อนร่างเด็กหญิงขึ้นวางลงบนรถม้า เขากระโดดขึ้นประจำที่สารถีก่อนหันเหรถม้า จากใจกลางเมืองหลวงเปลี่ยนเป็นชานเมืองแทน 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel