การจากลา
บทที่ ๕ การจากลา
“แล้วคุณหนูจะเอาทำยังไงต่อเจ้าคะ..” หลินหลินเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยความสงสัย สามเดือนที่ผ่านมานั้นคุณหนูของนางเปลี่ยนไปอย่างมากอย่างกับคนละคน จากเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายแปรเปลี่ยนเป็นสุขุมและเย็นชา ยิ่งทำให้หลินหลินอยากรู้เป็นอย่างมากว่าผู้เป็นนายจะทำเช่นไรต่อไป…
เสี่ยวหลานเมื่อได้ยินที่หลินหลินเอ่ยถาม นางก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สุขุม
“ข้าคิดแผนที่จะรับมือกับตระกูลมู่และตระกูลฉินไว้แล้ว และข้าจะไม่ให้ท่านพ่อและท่านแม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้ ก่อนอื่นเลย…หลินเอ๋อร์ เจ้าจงกลับไปที่ตระกูลแล้วมอบสิ่งนี้ให้กับท่านพ่อและท่านแม่ของข้า...”
เสี่ยวหลานเอ่ยจบนางก็ถอดแหวนสีทองที่สวมอยู่ที่นิ้วออกมา จากนั้นก็หยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ที่เอวกรีดไปที่แหวน
หลินหลินเมื่อเห็นสิ่งที่ผู้เป็นนายทำ นางก็ตกใจทันที..
“คุณหนู! ทำอะไรเจ้าคะ!!!”
“ไม่ต้องห่วงหลินเอ๋อร์ นี้เป็นหนึ่งในแผนของข้า” สิ้นเสียงเสี่ยวหลานนางก็ใช้มีดสั้นกรีดไปที่ข้อมือของตนเพื่อให้เลือดไหลหยดลงไปที่แหวน สาเหตุที่เสี่ยวหลานทำแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะว่านางต้องการที่จะปลีกตัวออกจากตระกูลเนื่องจากนางไม่ต้องการที่จะให้คนทั้งตระกูลและท่านพ่อ ท่านแม่ ของนางนั่นมาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางจะทำในปัจจุบันและอนาคต
ในอนาคตนั่นแน่นอนว่านางจะต้องได้ต่อสู้หรือทำศึกกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน หากนางไม่ออกจากตระกูลในตอนนี้ นางกลัวว่าเหตุการณ์ในอดีตที่แสนเลวร้ายจะหวนกลับมาหานางอีกครั้ง
“หลินเอ๋อร์ เจ้าจงนำแหวนวงนี้ไปมอบให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่..” เสี่ยวหลานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สุขุม และมอบแหวนให้แก่หลินหลินเพื่อไปมอบให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของนาง
“คะ…คุณหนู อย่าบอกนะว่า” หลินหลินเอยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ การที่คุณหนูของนางถอดแหวนประจำตระกูลออกมาเช่นนี้นั่น ตามกฎของแคว้นจินหลงแล้ว บรรดาตระกูลใหญ่หรือพวกตระกูลขุนนางหรือทหาร จะมีแหวนประจำตระกูลที่จะมอบให้แก่บรรดาคนระดับสูงของตระกูลเท่านั้น ซึ่งหากพวกเขาถอดออกมาหรือใช้มีดกรีดไปที่แหวนนั่นจะถือว่าเป็นการถอนตัวออกจากตระกูลโดยสมบูรณ์และจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลอีกต่อไป
“อย่าร้องไห้เลย..หลินเอ๋อร์ถึงข้าจะออกจากตระกูลไป ใช่ว่าข้าและเจ้าจะไม่ได้พบกันเสียหน่อย อย่าร้องไห้ไปเลย..น้องสาวของพี่” เสี่ยวหลานลูบหัวหลินหลินด้วยความอบอุ่นเสมือนพี่สาวกำลังปลอบน้องสาวที่กำลังร้องไห้
จากนั่นเสี่ยวหลานก็ยื่นแผ่นกระดาษที่นางเตรียมเอาไว้ก่อนจะออกมาจากจวนมอบให้แก่หลินหลิน โดยข้างในกระดาษปรากฏข้อความจำนวนหนึ่งโดยเขียนเอาไว้ว่า
ท่านพ่อ ท่านแม่ เมื่อท่านทั้งสองอ่านข้อความนี้แล้ว ลูกคงจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ลูกขอบคุณท่านทั้งสองมากที่ตลอดเวลาท่านทั้งสองดูแลเอาใจใส่ลูกมาโดยตลอด ทั้งชีวิตลูกนั่นทำผิดต่อท่านทั้งสองไว้มากมาย เวรกรรมชาตินี้ลูกคงชดใช้ให้พวกท่านได้ไม่หมด
ลูกขอให้ท่านพ่อและท่านแม่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ขอให้ท่านทั้งสองรักกันตลอดทุกชาติไป
จาก เสี่ยวหลาน
ทั้งสองคนล่ำลากันอยู่พักใหญ่จากนั่นก็ได้แยกย้ายกัน ก่อนแยกจากกันนั้นเสี่ยวหลานได้เน้นย้ำคำสั่งกับหลินหลินว่า เจ้าจงนำกระดาษแผ่นนี้และแหวนมอบให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของข้า ก่อนที่จะมอบมันจงบอกแก่ท่านทั้งสองคนว่า ข้านั้นได้ตัดสินใจออกจากตระกูลเสี่ยวแล้ว และบอกว่าข้านั้นได้ฝากข้อความแผ่นนี้ให้แก่ท่านทั้งสอง และเจ้าจงจำไว้นะหลินเอ๋อร์ เรื่องในวันนี้เจ้าห้ามแพร่งพรายที่ไหนเด็ดขาด หลังจากนี้นั่น คุณหนูเสี่ยวหลาน ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ณ ตระกูลเสี่ยว
หลังจากหลินหลินมาถึงยังจวนคฤหาสน์ของตระกูลเสี่ยวแล้ว นางก็ขอเข้าพบผู้เป็นนายใหญ่ของคฤหาสน์และฮูหยินทันที
“เจ้ามีอะไรงั้นหรือ หลินหลิน ถึงได้มาพบข้าและฮูหยินยามนี้” เสียงอันดุดันของผู้เเป็นนายใหญ่ของคฤหาสน์หรือเสี่ยวอวี้ดังออกมา ทำให้หลินหลินนั่งคุกเข่าลงด้วยท่าทีที่นอบน้อม
“คะ..คุณหนู ได้ออกจากตระกูลเสี่ยวแล้วเจ้าค่ะ” หลินหลินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง หน้าตาของนางในตอนนั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
เมื่อผู้เป็นนายใหญ่แห่งตระกูลเสี่ยวอย่างเสี่ยวอวี้ได้ยินที่หลินหลินเอ่ยออกมาเมื่อครู่ เขาถึงกับตกใจเป็นอย่างมากพร้อมเอ่ยถามกับหลินหลินอีกครั้งว่าสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องจริง
“ไม่จริงใช่ไหม..!”
“เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ..” หลินหลินเอ่ยจบนางก็นำแหวนและกระดาษที่เสี่ยวหลานเขียนเอาไว้มอบให้แก่ผู้เป็นนายใหญ่ของคฤหาสน์ จากนั่นนางก็ขอตัวออกมาทันที
เสี่ยวอวี้เมื่อรับแหวนกับแผ่นกระดาษจากหลินหลินมา เข่าเขาก็แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น เมื่อเห็นรอยขีดตัดบนสัญลักษณ์ของตระกูลที่เขียนว่า 天鵝
ผู้เป็นฮูหยินอย่างจินเหม่ยฮวาเมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีกำลังทำท่าทางเหมือนร้องไห้ นางจึงลุกออกมาจากเตียงนอนพร้อมกับเดินไปหาผู้เป็นสามี
“ท่านพี่ เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” จินเหม่ยฮวาเอ่ยถามผู้เป็นสามีที่ตอนนี้กำลังร้องไห้ ตั้งแต่นางรู้จักผู้เป็นสามีมานางไม่เคยเห็นผู้เป็นสามีร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยปกติแล้วเขาจะแสดงสีหน้าที่เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลาทั้งตอนอยู่ในจวนและภายนอก
จินเหม่ยฮวาเมื่อเห็นผู้เป็นสามีร้องไห้เช่นนี้นางก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาแปลกๆ ..
“หลานเอ๋อร์ ตายแล้ว” เสี่ยวอวี้เอ่ยออกมาเพียงสั้นๆ แต่มันนั่นทำให้ร่างของจินเหม่ยฮวาทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก
“ไม่จริง! ไม่จริง..ใช่ไหม ท่านพี่ ท่านอย่าโกหกข้าเช่นนี้ ข้าไม่ตลกกับท่านนะ” จินเหม่ยฮวาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือนางคิดว่าที่สามีของนางเอ่ยออกมานั่นเป็นเรื่องที่อำนางเล่นๆ เพียงเท่านั้น
ทว่า..แววตาของเสี่ยวอวี้ในตอนนี้นั่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวใจเป็นอย่างมาก มันจึงทำให้จินเหม่ยฮวารับรู้ได้ว่าสิ่งที่สามีของนางเอ่ยออกมาเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง
“ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ หลานเอ๋อร์…มันไม่จริงใช่ไหมท่านพี่ ลูกของเรายังมะ…” จินเหม่ยฮวายังไม่ทันเอ่ยจบนางก็สลบไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองอยู่บนหน้า เรื่องที่เกิดในครั้งนี้นั่นมันสะเทือนใจนางยิ่งนัก มันเกินกว่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรับไหวได้ การที่ต้องสูญเสียลูกไปมันไม่มีแม่คนไหนที่จะทำใจยอมรับเรื่องนี้ไปได้ อีกทั้งนางและลูกสาวยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลย..
เสี่ยวอวี้เมื่อเห็นผู้เป็นภรรยาสลบไป เขาก็อุ้มนางขึ้นมาและพาไปนอนที่เตียง.. จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องด้วยท่าทางที่เหมือนคนไร้วิญญาณ เขามองไปที่พระจันทร์ที่ในวันนี้นั่นมันดูเศร้าหมองกว่าปกติ ภาพในวันวานที่เขาและลูกสาวหยอกล้อกันในอดีตก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
“ท่านพ่อ..หากมีคุณชายตระกูลอื่นๆ มาเกี้ยวข้า ท่านพ่อจะยอมไหมเจ้าคะ..” เสี่ยวหลานเอียงคอเอ่ยถามผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก
“พวกมันต้องข้ามศพพ่อไปก่อน พ่อไม่ยอมให้ไอ้พวกคุณชายหน้าขาวเหล่านั่นแตะต้องลูกแน่นอน” เมื่อได้ยินที่ลูกสาวเอ่ยถาม ใบหน้าของผู้เป็นพ่ออย่างเสี่ยวอวี้แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เยือกเย็น และเอ่ยตอบลูกสาวแสนน่ารักของตนด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ภาพต่อมาที่ปรากฏในหัวนั้นก็ยิ่งทำให้เสี่ยวอวี้นั่นเศร้าหมองมากกว่าเดิม
“ข้ารักท่านพ่อและท่านแม่นะเจ้าคะ รักมากที่สุดในโลกเลย ท่านทั้งสองคนอยู่กับหลานเอ๋อร์ไปนานๆ นะเจ้าคะ อยู่กับหลานเอ๋อร์จนแก่เฒ่า สัญญานะเจ้าคะ..”
แต่แล้ว..เมื่อ 4 เดือนก่อนก็เป็นเหตุการณ์ที่เขาและภรรยานั่นเจ็บปวดใจเป็นอย่างมากที่เข้าใจผิดในตัวลูกสาวเพียงคนเดียวของพวกเขาทั้งสองและเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เสี่ยวหลานโกรธและเกลียดในตัวพวกเขา คำพูดคำสุดท้ายที่เขาได้ยินจากลูกสาวอย่างเสี่ยวหลานนั้นก็คือ
“หลานเอ๋อร์เกลียดท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่เคยเชื่อใจในตัวข้าเลย ข้าเกลียดพวกท่าน ฮือ ๆ ๆ”
นี้คือคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินจากลูกสาว และเป็นคำพูดที่มันดังในหัวของเขาตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน..
ทว่า…ช่วงที่เสี่ยวหลานทำการเก็บตัวสามเดือน ผู้เป็นพ่ออย่างเขานั้นไม่เคยได้พบหน้าเลยผู้เป็นลูกเลยแม้แต่ครั้งเดียว พอได้ยินว่าลูกสาวของตนอย่างเสี่ยวหลานออกมาจากการเก็บตัวเขาและภรรยาดีใจเป็นอย่างมาก ทั้งสองจึงคิดจะใช้เวลานี้ในการปรับความเข้าใจกับลูกสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา
แต่สายตาที่เสี่ยวหลานมองพวกเขาทั้งคู่นั้นกับเป็นสายตาที่เย็นชา ไม่ได้กล่าวทักทายพวกเขาและยิ้มให้อย่างทุกที ทั้งคู่ได้แต่มองผู้เป็นลูกจากไปด้วยสายตาที่เศร้าหมอง และการพบกันครั้งนั้นอาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างพวกเขาและลูกสาว
“พ่อช่างทำผิดต่อเจ้ายิ่งนัก หลานเอ๋อร์”