11 หนีเสือปะจระเข้
@สองวันต่อมา
ฟาติมาสังเกตเห็นถึงความผิดปกติระหว่างชินอิจิกับเมนิลา เพราะทั้งคู่เอาแต่หลบหน้ากัน ซึ่งก่อนหน้านี้ชินอิจิทำเหมือนกำลังสนใจเพื่อนของหล่อน
“เธอกับชินอิจิไม่ได้มีปัญหาอะไรกันใช่ไหม”
“อะ...ห๊ะ!!” เสียงของฟาติมาดึงสติของเมนิลากลับคืนมาเพราะมัวแต่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนไม่เป็นอันเรียน
“ฉันถามว่าเธอกับชินอิจิไม่ได้มีปัญหาอะไรกันใช่ไหม ฉันรู้สึกว่าวันนี้เธอกับเขาทำตัวแปลกๆ”
“ปะ...เปล่านะ ฉันไม่ได้มีปัญหากับเขา”
“ปกติเธอกับมักเขาจะเถียงกันอยู่ตลอดเวลา ก็นึกว่ามีปัญหาอะไรกันซะอีก” ฟาติมาหรี่ตามองด้วยสายตาจ้องจับผิด
“วันนี้ฉันก็แค่เหนื่อย ไม่อยากทะเลาะกับใคร” เมนิลาเอ่ยเสียงเรียบ ข่มเสียงสั่นเครือเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา
“แล้ววันนั้นทำไมถึงชิ่งกลับก่อนล่ะ รู้ไหมว่าอาจารย์หนึ่งเป็นห่วง”
“อ้อ! ฉะ...ฉันเมามาก กลัวเป็นภาระเพื่อนก็เลยกลับก่อน ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก”
“ถ้าเมาไม่ไหวก็บอกอาจารย์หนึ่งสิ กลับคนเดียวมันอันตราย แต่ดูไปดูมา...” ฟาติมาอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนหน้าเข้ามากระซิบ “ฉันว่าอาจารย์หนึ่งชอบเธอนะ”
“บะ...บ้าหรอ!! อาจารย์หนึ่งเนี่ยนะชอบฉัน เธอต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ”
“ไม่หรอก ฉันดูออกว่าอาจารย์หนึ่งมีใจให้เธอ และเธอเองก็มีใจให้เขาไม่ใช่หรอ ทำไมไม่ลองเปิดใจดูล่ะ”
“ฉันว่าอย่าเลยดีกว่า ถ้าเกิดอาจารย์ในมหา’ลัยรู้เข้า ฉันต้องโดนนินทาแน่ๆ เธอก็รู้ไม่ใช่หรอว่าอาจารย์หนึ่งฮอตแค่ไหน”
“เธอกำลังมองโลกในแง่ร้ายอยู่นะลูกหมี ก็ถ้าอาจารย์หนึ่งเลือกเธอ ใครหน้าไหนจะกล้านินทา ฉันอยากให้เธอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที”
“บางที....ฉันอาจจะไม่เหมาะสมกับอาจารย์หนึ่งแล้วก็ได้” พอนึกถึงเรื่องที่ชินอิจิทำกับเธอแล้ว ทำให้เธอไม่กล้าเปิดใจให้ใครอีกเลย
ไหนจะเรื่องที่เธอสัญญากับชินอิจิไว้ เพราะยังเหลืออยู่ตั้งสี่ครั้ง ไม่อยากให้อดิรุจน์ผิดหวังในตัวเธอ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่เหมาะสมกับเขาอยู่แล้ว
“เรื่องฐานะเธอไม่ต้องคิดมากหรอก คนเรารักกันที่ใจ ไม่ใช่ที่เงิน”
“ไม่ใช่แค่เรื่องเงินหรอก แต่มันยังมีอีกเรื่องที่ทำให้ฉันไม่สามารถบอกความรู้สึกที่แท้จริงกับอาจารย์หนึ่งได้ ฉันขอเก็บมันเอาไว้คนเดียวก็แล้วกัน”
ฟาติมาถอนหายใจพรืดใหญ่ กรอกตามองบนหลายรอบเพราะอยากให้เพื่อนลงเอยกับอดิรุจน์ แต่ดูเหมือนว่าเมนิลาจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป
หลังเลิกเรียนเมนิลานั่งทำวิจัยอยู่ที่ห้องสมุดจนดึกเพราะที่บ้านไม่มีคอมพิวเตอร์ ส่วนวันไหนที่เธอยุ่งมากๆก็จะขอลางานเพราะช่วงนี้ต้องทำวิจัยหามรุ่งหามค่ำ
แต่พอจะกลับบ้านฝนก็ตกลงมาพอดี ทำให้หญิงสาวยืนถอนหายใจอยู่หน้าตึก ตอนนี้ไฟดับ มีแค่ไฟฉุกเฉินในตัวอาคารที่ยังสว่างอยู่ ส่วนด้านนอกมีเพียงแสงไฟริมทางริบหรี่เท่านั้น
“อุปสรรคเยอะจริงๆลูกหมีเอ้ย!” เธอบ่นกับตัวเองแล้วหยิบร่มออกมากาง ส่วนรถจักรยานคู่ใจจอดอยู่ที่ด้านหลังมหาวิทยาลัยซึ่งต้องเดินฝ่าความมืดไป
ดึกป่านนี้นักศึกษาคงกลับกันหมดแล้ว จะเหลือแค่บางคนที่ยังทำวิจัยอยู่
ด้วยความเป็นห่วงน้องสาวที่อยู่บ้านคนเดียว ทำให้เธอรีบวิ่งฝ่าความมืดไปยังด้านหลังมหาวิทยาลัย ทำให้ชายฉกรรจ์สามคนที่ดักซุ่มอยู่ข้างนอกวิ่งตามเธอไป
ตึก...ตึก...
เมนิลาวิ่งด้วยความระทึกใจเพราะรู้สึกว่ามีเสียงฝีเท้ากำลังวิ่งตามมา ทำให้เธอรีบเร่งความเร็ว แล้วเสียงฝีเท้านั้นก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้เมนิลารู้แล้วว่ามีใครบางคนแอบตามมา ทำให้เธอวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพราะเห็นแสงไฟอยู่ข้างหน้า
พรึ้บบ!!
“จะไปไหนจ้ะน้องสาว!”
“กรี๊ดด!! พวกแกเป็นใคร ปล่อยฉันนะ”
“ไปกับพวกพี่เถอะน้องสาว พี่จะพาไปขึ้นสวรรค์”
มือของมันพยายามฉุดกระชากร่างของเมนิลา แต่เธอดิ้นสู้สุดใจจนเสื้อขาด ตอนนี้ฝนตกหนักมากทำให้เธอมองไม่เห็นว่าพวกมันเป็นใคร แต่ที่แน่ๆต้องไม่ใช่คนในมหาวิทยาลัยแน่
“กรี๊ดด!! ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!”
“แหกปากไปเถอะ ฝนตกหนักขนาดนี้ใครจะได้ยิน ทางที่ดีไปกับพวกพี่เถอะ รับรองว่าน้องต้องชอบแน่ๆ”
“ไม่! พวกแกเป็นใคร มาจับตัวฉันทำไม คอยดูนะฉันจะแจ้งตำรวจ!!”
“น้องสาวจะแจ้งตำรวจจับว่าที่ผัวของตัวเองหรอ ใจร้ายเกินไปไหม” เสียงมันหัวเราะในลำคอแล้วล็อคร่างของเมนิลาเอาไว้ ก่อนจะหันไปสั่งอีกคน “ไปขับรถมาสิวะ! เดี๋ยวกูรออยู่ตรงนี้”
“ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไร!”
“ต้องการขึ้นสวรรค์กับน้องไง”
มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้มาขึ้น ทำให้เมนิลาอาศัยจังหวะนั้นเตะผ่าหมากอย่างแรงจนร่างของมันล้มตึงแล้ววิ่งหนีทันที เป้าหมายของเธอก็คือ...ห้องที่กำลังเปิดไฟ!
“อีบ้าเอ้ย! กล้าดียังไงมาเตะลูกชายกู คอยดูเถอะ วันนี้กูจะเอามึงให้ขาถ่างเลย!!”
ชายฉกรรจ์สองคนวิ่งตามมาติดๆ เมนิลาร้องตะโกนขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีใครได้ยินเพราะตอนนี้ฝนตกหนักมาก
แล้วพวกมันเป็นใคร...ต้องการอะไรจากเธอ
พรึ้บบ!!
เมนิลาพุ่งตัวเข้าไปภายในห้องที่กำลังเปิดไฟอยู่ ไม่รู้ว่ามันคือห้องอะไร แต่ที่แน่ๆข้างในต้องมีคนไม่งั้นคงไม่เปิดไฟไว้
“เอ้ยย!!”
ร่างสูงที่กำลังนอนอ่านหนังสือสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจเพราะจู่ๆก็มีใครบางคนเปิดประตูพร้วดพร้าดเขามา ส่วนชายฉกรรจ์สองคนที่วิ่งมาติดๆพอเห็นว่าข้างในมีคนก็รีบกลับขึ้นรถแล้วขับออกไปจากมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว
“ฮึก!” ร่างของเมนิลาสั่นระริกด้วยความกลัวจนน้ำตาไหล ไม่รู้จริงๆว่าพวกมันเป็นใคร ทำไมถึงได้ตามไล่จับตัวเธอ
พอตั้งสติได้และได้ยินเสียงพวกมันขับรถออกไป เมนิลาค่อยๆหันหน้ากลับมา แล้วคนที่อยู่ในห้องนั้นทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าโดนพวกมันไล่อีก
“ชะ...ชินอิจิ!!”
“…” ชินอิจิไม่ตอบ ปรายตามองร่างเล็กตั้งแต่ตัวจรดเท้าซึ่งอยู่ในสภาพเปียกปอนไปทั้งร่าง แถมเสื้อนักศึกษายังฉีกขาดจนเห็นบราเซียสีดำ
“ขะ...ขอโทษ ไม่คิดว่านายอยู่ในนี้” เมนิลาตอบเสียงสั่นและกำลังจะก้าวเท้าออกไป แต่ทันใดนั้นชินอิจิก็กระโดดลงมาจากโซฟาแล้วปิดประตู ล็อคกลอนอย่างรวดเร็ว “นะ...นาย!!”
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ฉันจะกลับบ้านแล้ว” เธอก้มหน้างุด ร่างสั่นระริกเหมือนลูกนกตกน้ำ แต่เสียงที่กำลังสั่นนั้นทำให้ชินอิจิรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังร้องไห้
“ฉันจะถามย้ำเป็นครั้งสุดท้าย มันเกิดอะไรขึ้น”
เมนิลาเงยหน้าขึ้น ทำให้รู้ว่าตอนนี้ชินอิจิกำลังโน้มตัวลงมาใช้มือดันประตูเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นใกล้มาก...ใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน ทำให้เธอต้องเบี่ยงหน้าหลบไปอีกทาง เพราะไม่อาจต้านทานสายตาคมกริบคู่นั้นที่เอาแต่จ้องมองได้
เหมือนกำลังหนีเสือปะจระเข้ หนีคนชั่วมาเจอคนชั่วกว่า
“ฉันโดนคนพวกนั้นไล่มา ไม่รู้ว่านายอยู่ในห้องนี้ ขอโทษที่รบกวนนะ”
หมับ!
“เธอยังไปไหนไม่ได้ ถ้าฉันไม่ได้อนุญาต”