บทที่ 1
พ่อแม่ของฉันเป็นคนดีที่ขึ้นชื่อที่สุดในหมู่บ้าน
พวกเขาตายเพราะประสบอุบัติเหตุรถชน
เพื่อช่วยชีวิตฉัน
กลางดึก ฉันแขวนศพของพวกเขาไว้ใต้ต้นไหวใหญ่
แล้วเฆี่ยนศพอย่างโหดเหี้ยม
เมื่อฟาดถึงครั้งที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า
กำไลเงินวงหนึ่งก็ล็อกแน่นสนิทลงบนข้อมือฉัน
ท่ามกลางศพที่ถูกฟาดจนไม่เหลือสภาพ
ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านรุมถามฉันว่า ทำไมต้องทำแบบนี้?
ฉันไม่ตอบ
แม้แต่ผบ.กิตติ
จะลงมาสอบสวนเองก็ยังง้างปากฉันไม่ได้
ความชั่วร้ายของฉันกลายเป็นประเด็นร้อนบนโซเชียลทันที:
「ลูกสาวใจอมนุษย์เฆี่ยนศพพ่อแม่ เลวไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน」
จนกระทั่งพี่ชายคนโตผู้มีสติไม่สมประกอบ
ถูกพาตัวเข้ามาตรงหน้าฉัน
ฉันเงยหน้ามองเพดาน
น้ำตาหนึ่งหยดก็ไหลลงมา
“พี่รู้ไหม… ใต้ต้นไหวนั่น ยังมีดวงวิญญาณที่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่…”
……
ในห้องสอบสวน
พี่ชาย ธีรเมธ จับมือฉันแน่นอย่างกระวนกระวาย
“จื้อจื้อ… อันตราย… หนีไป…”
ฉันยื่นมือไปปลอบให้เขาสงบลง
ฝั่งตรงข้าม
ผบ.กิตติเคาะนิ้วบนโต๊ะเป็นจังหวะ
ก่อนเอ่ยคำถามที่ติดใจเขามาตลอด
“พ่อแม่ของเธอเป็นคนดีที่ใคร ๆ ก็ยกย่อง
พวกเขายอมตายเพื่อช่วยเธอ
แล้วทำไมเธอถึงต้องหยามเหยียดศพพวกเขา?”
คนดีงั้นเหรอ?
ฉันยิ้มอย่างเย็นชา
พอฉันไม่พูดอะไร ผบ.กิตติเลยเปิดไลฟ์ขึ้นมาตรงหน้า
“ดูนี่สิ งามวดี ภรรยาพี่ชายเธอ กำลังคุกเข่าอยู่หน้าหมู่บ้าน ขอให้ชาวบ้านช่วยลงชื่อขอลดโทษให้เธอ”
“เธอไม่สงสารพี่สะใภ้รองหน่อยเหรอ ที่ต้องลำบากขนาดนี้?”
ฉันหันไปมองจอ
งามวดี ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใต้ตาดำ คุกเข่าอยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านคำอินทร์
“ขอร้องนะคะทุกคน เห็นแก่พ่อแม่ของหนูเถอะ ช่วยเซ็นชื่อให้หน่อย”
“ใจจันทร์ไม่ควรติดคุก ถ้าเธอเข้าไปจริง ๆ ชีวิตเธอก็จบกันพอดี”
ผู้ใหญ่บ้านเดินตรงไปฉีกจดหมายขอลดโทษต่อหน้ากล้อง
“ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยใจจันทร์ หมู่บ้านเราก็คงไม่ต้องเสียคนดีสองคนในคืนเดียว”
“จะให้เราช่วยคนที่เฆี่ยนศพพ่อแม่ตัวเองเหรอ? ฝันไปเถอะ วันนั้นคงต้องรอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกก่อน”
คอมเมนต์ไหลรัวขึ้นเต็มหน้าจอ ไลฟ์เต็มไปด้วยคำด่า
“มีพี่สะใภ้แบบนี้ใครก็อยากได้!”
“เลิกคุกเข่าเถอะ คนที่ตีศพพ่อแม่ตัวเองไม่สมควรได้รับการให้อภัยหรอก”
“หรือว่าเธอมีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่จริง ๆ? ไม่งั้นใครจะทำแบบนี้กับพ่อแม่ตัวเอง?”
มีบางคอมเมนต์พยายามตั้งคำถาม แต่ก็โดนด่ากลบหายไปหมด
ฉันยิ้มมุมปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“งามวดีนี่เก่งจริง ๆ นะ หาโอกาสรีดมูลค่าจากฉันได้แม้แต่ตอนนี้”
ผบ.กิตติสีหน้าเครียด ชี้ไปที่พี่ใหญ่ธีรเมธที่นั่งอยู่ข้างฉัน
“ได้ยินมาว่าเธอกับพี่ชายสนิทกันมาก แล้วเคยคิดไหม ถ้าเธอติดคุก งามวดีจะยอมดูแลพี่ชายเธอไปตลอดชีวิตจริงเหรอ?”
“อีกอย่าง สิ่งที่เธอทำมันผิดศีลธรรมมากนะ ถ้าเธอเข้าไปจริง ๆ พี่ชายเธอก็อาจจะโดนสังคมตราหน้าไปด้วย เธอโอเคกับเรื่องนั้นเหรอ?”
ฉันหันไปมองพี่ใหญ่ พี่ชายวัยสามสิบที่ยังนั่งกอดตุ๊กตาหมีอยู่เหมือนเด็ก
ฉันถอนหายใจเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองเพดาน
“ผบ.กิตติ… คุณคิดว่าฉันควรเชื่อใจคุณได้ไหม?”
น้ำเสียงฉันเต็มไปด้วยนัย
เขาขยับตัว นิ่งขึ้นมาทันที
“ถ้าเธอยอมพูดความจริง ต่อให้มีแรงกดดันแค่ไหน ฉันก็จะเดินหน้าต่อ”
ฉันหัวเราะเบา ๆ น้ำตาเริ่มเอ่อในดวงตา
“งั้นก็ขอให้คุณอย่าเสียใจในภายหลัง”
“ถ้าคิดว่ารับไหว ก็ลองไปฟังเสียงร้องของวิญญาณใต้ต้นมะขามหน้าบ้านฉันดูสิ”
“โดยเฉพาะ... ใต้โคนต้นไม้นั่น”
ดวงตาของผบ.กิตติเบิกกว้างทันที
สัญชาตญาณของคนเคยคลี่คลายคดีมานับไม่ถ้วนบอกเขาได้ว่า สิ่งที่ฉันพูดมันไม่ธรรมดาแน่
เขาจ้องฉันไม่กระพริบ เสียงเริ่มเย็นลง
“ใต้ต้นมะขาม… มีอะไรอยู่?”
ฉันไม่ตอบ ขอเชิญชมฝีมือการแสดงไร้ที่ติของพี่สะใภ้รองต่อไป
“พี่ชายเธอก็ไม่ปกติ ใจจันทร์นั่นแหละคงเสียสติถึงได้ทำเรื่องแบบนั้น”
“ถ้าเธอรอดออกมาได้ ฉันยอมขายทุกอย่างพาเธอไปรักษาเลย”
คำพูดของเธอทำให้คนดูบางส่วนเริ่มเห็นใจ
ผบ.กิตติตั้งท่าจริงจัง พูดขึ้นอีกครั้ง
“ใจจันทร์ เธอรู้ใช่ไหม ว่าทุกคำพูดที่พูดในห้องนี้มีผลตามกฎหมาย”
ฉันตอบเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงมีอะไรซ่อนอยู่
“พ่อแม่ฉันชอบเอาของไปฝังไว้ใต้ต้นมะขามนั่นตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ลองไปขุดดูเองก็ได้”
เขาลุกขึ้น เดินไปถึงประตู แล้วหันกลับมาพูดช้า ๆ
“ถ้าขุดแล้วไม่เจออะไร เธอจะโดนเพิ่มข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ด้วยนะ นอกจากหมิ่นศพ”
ฉันไม่เงยหน้า แค่พูดกลับไปเบา ๆ
“ถ้าเจอของจริง ก็หวังว่าคุณจะไม่ถอยหลังนะคะ”
ฉันตั้งใจเน้นคำว่าคุณให้ชัดเจน
ร่างเขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหายเข้าไปในทางเดินมืด ๆ...
