บท
ตั้งค่า

ตอนที่ ๓ ฟ้ามืด เป็นเหตุ สังเกตได้

“ไม่! มึงมาถึงที่แล้วนะ เข้าไปกันก่อนเถอะน่า แป๊บเดียวเองเดี๋ยวค่อยกลับ” พริกแกงพูดจบ ก็ดันหลังของธารใสและพอใจที่ยืนอยู่กับต้นกล้าข้างๆ ตน ให้เดินเข้าไปในโบสถ์ แล้วหันมากวักมือเรียกอัญชัน ที่กำลังยืนทำสีหน้ากังวล และมองไปที่ประตูหลังวัด ให้รีบเดินตามกันเข้าไปด้านใน

“มึง...ทำไมไม่มีพระสักองค์เลยวะ” พอใจพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว ก่อนจะหันไปกอดแขนของต้นกล้าเอาไว้แน่น เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในแล้วก็ยังคงไม่เห็นมีพระพุทธรูปเลยสักองค์

บรรยากาศภายในโบสถ์เวลานี้แปลกมาก อากาศรอบด้านเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ด้านในของตัวโบสถ์ ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เป็นแค่พื้นปูนเปลือย ที่ด้านข้างของผนังโบสถ์มีหน้าต่างขนาดใหญ่สองบานติดอยู่ทั้งสองฝั่งเท่านั้น

เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน มองไปข้างหน้าจะเห็นแท่นหินสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงกลาง แล้วมีเทวรูป รูปร่างแปลกๆ ขนาบข้างอยู่ทั้งสองฝั่ง ความสูงของเทวรูปนั้นกะด้วยตาน่าจะประมาณสองเมตร สวมใส่โจงกระเบน มีแขนหกแขนกางออกมา สองแขนบนสุด ยกแขนขึ้นตั้งวง ฝ่ามือตั้งขึ้น นิ้วหัวแม่มืองอเข้าหาฝ่ามือเล็กน้อย อีกสี่นิ้วดัดงอหักข้อมือเข้าหาลำตัวเป็นท่ารำ ส่วนสองแขนกลาง เหยียดแขนออกไปข้างลำตัว หงายแขนขึ้นแบมือออก ให้ปลายนิ้วกลางกับนิ้วโป้งบรรจบกันและงอเข้าหากันเป็นรูปวงกลมเหมือนกับการทำท่าโอเค ส่วนสองแขนล่าง พนมมือขึ้นแนบไว้ที่กลางอก ผิวมีสีดำคล้ำ ลักษณะเหมือนทำมาจากเนื้อหิน

“มึง กูว่ามันไม่ดีแล้วว่ะ กูไม่โอเคเลย พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” อัญชันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แล้วรีบชักชวนเพื่อนๆ ให้ออกไปจากที่นี่ เนื่องจากอัญชันนั้นเริ่มใจคอไม่ดี เพราะตนนั้นเป็นคนมีเซนส์ ถึงจะมองไม่เห็นหรือเจอจะจะ แต่ก็สามารถสัมผัสหรือมองเห็นได้รางๆ แล้วจากสัญชาตญาณก็บอกได้เลยว่า มันไม่ดีเลยถ้ายังอยู่ต่อ จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ

“เออๆ ก็ได้” พริกแกงที่ตอนแรกมีท่าทีอิดออดไม่ยอม เริ่มหน้าเสียแล้วยอมที่จะหันหลังกลับ

“กรี๊ดดด....” เสียงของธารใสกรี๊ดดังขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันไปมองด้วยความตกใจ เห็นธารใสที่ยืนอยู่ปากทางออกกำลังมีสีหน้าตื่นกลัว และมองไปที่ เทวรูปที่ยืนพนมมือแนบอกอยู่ข้างทางออกของประตูทั้งสองฝั่ง

“ธารใส มึงจะกรี๊ดทำไมเนี่ยย ตกใจหมด” พริกแกงพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ก็เราตกใจนิ หันมาก็เห็น...” ธารใสพูดแล้วหันไปมองที่เทวรูปผิวสีดำคล้ำ ที่สวมใส่โจงกระเบนยืนพนมมืออยู่

“มึงจะตกใจอะไร ที่หน้าประตูทางเข้ามา มึงก็เห็นแล้วนี่” พริกแกงพูดใส่เพื่อนด้วยความหงุดหงิด

“เลิกทะเลาะกันได้แล้วน่า รีบออกไปกันเถอะ กูอยากกลับบ้านแล้ว” พอใจพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูกังวล

เมื่อทั้งห้าคนรีบเดินออกมาจากตัวโบสถ์ ก็เห็นว่าท้องฟ้าที่เริ่มอึมครึมลงในตอนแรก ตอนนี้มืดสนิทแล้ว เมฆหมอกจากสีฟ้าสดใส กลายเป็นสีดำสนิทปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

ทันใดนั้น... ก็มีสายฟ้าฟาด เปรี้ยงง!! ผ่าลงมาที่หน้าประตูทางออกของวัด พวกเขาทั้งห้ายืนนิ่งค้างด้วยความตกใจ ก่อนจะได้สติขึ้นมา จึงรีบพากันวิ่งออกไปที่ประตูวัดที่ยังเปิดอยู่ ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าก็ร้องคำรามออกมา เสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหวจนน่ากลัว

ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง …. ประตูวัดทุกบาน ปิดลงอย่างรุนแรง เสียงดังกึกก้อง ไปทั่วทุกพื้นที่ของตัววัด

“ไม่นะ!!!” เสียงของพวกเขาทั้งห้าคนดังขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจ เมื่อเห็นประตูวัดที่อยู่ตรงหน้าปิดลงต่อหน้าต่อตา ห่างไปเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ก็จะได้ออกไปแล้ว

“ทำยังไงดีๆ ประตูวัดปิดหมดแล้ว” เสียงของธารใส พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ ร่างกายสั่นกลัว น้ำตาเอ่อล้น

“กล้า ทำยังไงดี” พอใจหันไปถามต้นกล้าด้วยความหวาดกลัว ต้นกล้าจึงเดินไปที่หน้าประตู แล้วพยายามเอาไม้ที่คั่นประตูไว้ออก แต่ไม่ว่าจะดึง หรือดันอย่างไรมันก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

“มันแน่นมาก ดึงยังไงก็ดึงไม่ออก” ต้นกล้าหันไปพูดกับทุกคนที่ยืนหน้าเสียอยู่ข้างหลัง

“ไม่นะ มีใครอยู่ไหม เปิดประตูให้หน่อยย ใครก็ได้ช่วยด้วย!! ช่วยด้วย!! ปังๆๆๆ” พริกแกงยังคงไม่ยอมแพ้ วิ่งเข้าไปทุบที่ประตู เพื่อร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็เงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ ตอบรับกลับมา

“มึง งั้นเอาอย่างงี้ไหม เราปีนกำแพงวัดออกไปกัน” อัญชันพูดขึ้น

“มึง แต่กูปีนขึ้นไปเองไม่ไหวหรอกนะ กูยังมึนๆ หัวอยู่เลย กูจะอ้วก ถ้าพวกมึงจะปีนออกไปกัน ยังไงช่วยต่อตัวกันให้กูปีนออกไปด้วยนะ” พริกแกงพูดออกมาด้วยสีหน้าพะอืดพะอม

“อย่ามาเยอะ!! ถ้ามึงปีนไม่ไหว ก็นอนตายอยู่ตรงนี้นี่แหละ กูบอกให้ออกไปตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่ยอมออก เป็นไงล่ะทีนี้ อยากดูโบสถ์ต่อไหม ไปสิ๊เข้าไปดูเล๊ย” อัญชันพูดขึ้นด้วยความหมั่นไส้ปนหงุดหงิด เล่นเอาพริกแกงหน้าเหวอไปเลย

“เลิกเถียงกันได้แล้วน่า หาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนเถอะ กล้าลองปีนขึ้นไปดูที่กำแพงให้เราหน่อยสิ” พอใจพูดกับเพื่อนเสร็จ ก็หันไปพูดกับต้นกล้าแฟนหนุ่มของตนที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่ม ให้ขึ้นไปดูลาดเลา

ต้นกล้าพยักหน้ารับ แล้วเดินไปปีนกำแพงวัดที่ข้างประตู ขณะที่กำลังปีนขึ้นไปบนกำแพงอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็มีแรงกระแทกมหาศาลอัดเข้าไปที่ลำตัวของต้นกล้าอย่างแรง จนกระเด็นออกมาจากกำแพงวัด ร่วงหล่นลงไปกับพื้น จนทุกคนที่เห็นหันไปมองต้นกล้าที่นอนอยู่กับพื้นด้วยความตกใจ เมื่อได้สติก็เห็นพอใจรีบวิ่งเข้าไปพยุงตัวของต้นกล้าขึ้นมาทันที

“กล้าเป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหม” พอใจพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง แล้วไล่สำรวจร่างกายของแฟนหนุ่ม ว่ามีแผลตรงไหนหรือไม่ มือก็ช่วยปัดไปตามร่างกายที่มีฝุ่นติดตามตัว

“ไม่เป็นไรหรอก เจ็บนิดเดียวเอง เดี๋ยวก็หาย” ต้นกล้าส่ายหน้ายิ้มตอบพอใจ เพื่อไม่ให้พอใจกังวลและเป็นห่วงตนจนเกินไป เมื่อพอใจได้ยินก็พยักหน้ารับ

“ทุกคนดูนั่นสิอะไรน่ะ!!” เสียงสั่นๆ ของธารใสดังขึ้น เรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมองด้านในวัด ตรงที่ธารใสชี้นิ้วไป

เมื่อพวกเขาทั้งห้าหันไปมองด้านในวัด ก็พากันตกใจ ทำอะไรไม่ถูก เพราะบรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนไป จากวัดที่เคยสวยงาม มีโบสถ์ใหญ่สีเหลืองทองอร่ามตั้งตระหง่านอยู่ กลับกลายเป็นเพียงโบสถ์ที่ดูหมองเก่า และทรุดโทรมแทน ท้องฟ้าตอนนี้มืดครึ้ม เป็นสีดำสนิท มีเพียงพระจันทร์ดวงโตดวงใหญ่สีเหลืองทองอร่ามขึ้นมาอยู่บนท้องฟ้า และอยู่ตรงกลางลานวัดพอดี แสงของพระจันทร์สาดส่องอยู่เพียงแค่ตรงนั้น แต่กระจายปกคลุมไปทั่วลานวัด และเลยไปรอบๆ นิดหน่อย พอให้ได้เห็นแสงเพียงรางๆ

ตึง ตึง ตึง… เสียงตีกลองดังขึ้นมากลางอากาศ

ทันใดนั้น!! ก็มีเปลวไฟจุดขึ้นมาที่เสาลำโพงต่างๆ ของวัด พึ่บ!! เพิ่มแสงสว่าง ทำให้สามารถมองเห็นบรรยากาศรอบด้านได้มากขึ้น เมื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดได้แล้ว ก็มองเห็นผู้คนมากมาย ที่ออกไปจากวัดไม่ทันเช่นกัน กำลังยืนกระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของตัววัด พากันแตกตื่น วิ่งขวักไขว่ไปมา บางส่วนก็พากันวิ่งหลบเข้าไปในตัวโบสถ์ ทั้งห้าคนกำลังยืนดูสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง

“นั่นมันอะไรน่ะ!! ทำไมรูปปั้นมันเป็นแบบนั้น” เสียงสั่นเครือของธารใส พูดขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความหวาดกลัวมากกว่าเดิม แล้วชี้ให้เพื่อนๆ ของตน หันไปมองที่เทวรูป ที่ตั้งอยู่ทางเข้าโบสถ์

เทวรูปสองตน ที่ยืนพนมมือแนบอกอยู่ที่ทางเข้าประตูโบสถ์ มีไอสีดำแปลกๆ เหมือนหมอกควันขึ้นมาตามร่างกาย จนมองเห็นเทวรูปได้แค่เพียงรางๆ สักพักเมื่อควันเริ่มจางหายไป ทำให้มองเห็นได้ชัดมากขึ้น จากเทวรูปหินก็เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง กลายเป็นกล้ามเนื้อมัดแห้งสีดำเข้ม ผอมโซเนื้อติดกระดูก จนเห็นรอยซี่โครงตามร่างกาย นิ้วมือเริ่มขยับ เล็บงอกยาวออกมา ส่วนปากนั้นฉีกไปถึงใบหู ค่อยๆ อ้าออกกว้าง ทำให้เห็นฟันขึ้นถี่ซ้อนกันเป็นจำนวนมาก ดูแหลมคมเหมือนฟันปลา ใบหน้าตอบแห้ง

ทันใดนั้น!! เทวรูปก็ลืมตาขึ้น ดวงตานั้นดำมืดสนิท เมื่อมองดีๆ จะเห็นเป็นรูโบ๋ ไม่มีลูกตา กำลังขยับร่างกายและหัวให้เข้าที่ มันหวีดร้องออกมาอย่างโหยหวน เสียงดังลั่นยาวเหมือนเสียงเปรตร้อง แต่โทนเสียงกลับแหบใหญ่ฟังดูน่ากลัว เรียกความสนใจจากผู้คนในวัดที่กำลังวิ่งขวักไขว่ไปมาให้หันไปมอง

“กรี๊ดดดดด….” เสียงกรี๊ดของธารใส พอใจ และอัญชัน ดังขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ทำให้อสุรกายสองตัวนั้น หันมาตามเสียงร้องนั้นทันที พวกมันพุ่งตัวออกมาหาอย่างว่องไว เล่นทำเอาวงแตก วิ่งหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง

อัญชันที่วิ่งหนีตามหลังต้นกล้าที่จับมือของพอใจวิ่งนำไปก่อนแล้วนั้น มองไปเห็นธารใสที่วิ่งนำอยู่หน้าสุด วิ่งแยกออกไปอีกทาง พอหันไปมองด้านหลังก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นพริกแกงยังคงยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม

“ฉิบหายแหละ!!” อัญชันสบถออกมาอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นพริกแกงยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน ตรงหน้ามีอสุรกายสองตัวนั้น กำลังพุ่งตัวเข้าไปหาพริกแกง พวกมันเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ มันเดินวนไปวนมาแถวๆ นั้น แต่ทำไมเหมือนพวกมันจะมองไม่เห็นพริกแกงที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“กรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด….” เสียงร้องของผู้คนที่กำลังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วิ่งหนีกันไปมา ขวักไขว่ไปทั่ว ตามจุดต่างๆ ของตัววัดและภายในตัวโบสถ์ พากันกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว เรียกความสนใจให้อสุรกายทั้งสองตัวนั้น หันไปมองตามเสียงกรีดร้องนั้นทันที ก่อนที่พวกมันจะพุ่งตัวออกไปอย่างว่องไว

“พริกแกง!! มึงช็อกตายรึยังวะ” อัญชันที่วิ่งเข้ามาหาเพื่อนถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง ใช้นิ้วจิ้มๆ ไปที่แขนของพริกแกงที่ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ ตาแทบไม่กะพริบ

“มึง!! เมื่อกี้มันตัวอะไรวะ” พริกแกงที่ยืนช็อกค้างเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน เหมือนเพิ่งได้สติ กะพริบตาถี่ๆ และถามขึ้นมาหน้าเสีย

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เห็นพร้อมกันไหมมึง แล้วนี่มึงเป็นห่าอะไร ไม่กลัวตายรึไง ถึงไม่วิ่งหนีเนี่ย”

“เปล่าเลยเพื่อนรัก กูกลัวจนฉี่แทบราด แต่กูวิ่งไปไหนไม่ได้ คือขากูมันแข็งไปหมดเลยมึงง” พริกแกงพูดทั้งน้ำตา

“เฮ้อออ...น่าปล่อยให้แม่งตายตรงนี้จริงๆ ทีตอนแดกเหล้า ตอนเที่ยวนี่ มึงไปอย่างไว ทีนี้ละมาทำเป็นวิ่งไม่ออก หายซ่าเลยสิมึง” อัญชันพูดแขวะ แล้วมองไปที่พริกแกงอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยพยุงพริกแกงเพื่อพาออกไปจากตรงนี้

“มึงเมื่อกี้มึงเห็นไหม เหมือนมันมองไม่เห็นมึงเลย ทั้งที่มึงก็ยืนอยู่ข้างหน้ามัน พอเสียงคนในโบสถ์กับทางอื่นดังขึ้น มันก็รีบพุ่งไปหาเลย กูว่ามันต้องตาบอดแน่ๆ” อัญชันพูดขึ้น

“ก็ตามันบอดไง มึงถามอะไรโง่ๆ ตามันโบ๋ ออกขนาดนั้น มึงมองไม่เห็นหรอ” พริกแกงตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท แล้วหันไปมองอัญชันที่กำลังพยุงตนเดินอยู่ ซึ่งก็พากันออกมาไกลจากตัวโบสถ์ได้พอสมควรแล้ว

“ปากดี อีด๊อกก!! รู้อย่างนี้กูไม่น่ามาช่วยมึงหรอก ปล่อยให้แม่งช็อกตายอยู่ตรงนั้นแหละ” อัญชันพูดขึ้นมาอย่างหมั่นไส้ แล้วผละตัวออกจากพริกแกงทันที

“โอ๋ๆ รักหรอก จึงหยอกเล่น ไม่งอนกันน้าา แล้วเพื่อน ๆ หายไปไหนกันหมด” พริกแกงพูดขึ้นแล้วเข้าไปง้องอนเพื่อนของตน ก่อนจะถามหาเพื่อนคนอื่น เมื่อเห็นแค่อัญชันเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้

“หยอกห่าอะไร ดูสถานการณ์ด้วยว่ามึงควรเล่นไหม ไอ้นี่ กูก็ถามดีๆ กวนประสาทอยู่ได้ ส่วนพอใจกูเห็นต้นกล้าดึงมันวิ่งออกไปตั้งแต่วงแตกแล้ว ส่วนธารใสเห็นวิ่งนำหน้าแยกไปอีกทาง มีแต่กูเนี่ยแหละ ที่ถ่อมาช่วยเพื่อนกวนส้นตีนอย่างมึง”

“โอ๋ๆ กูรักมึงนะ หายงอนเถอะ” พริกแกงพูดแล้วโผเข้าไปกอดอัญชันไว้ ก่อนจะโยกตัวไปมาเพื่อหยอกเย้าเพื่อนของตนให้หายงอน

“เออ เลิกพูดมาก ไปได้แล้ว เดี๋ยวแม่งมาอีกตายกันก่อนพอดี” อัญชันพูดแล้วรีบพาเพื่อนเดินต่อไป ซึ่งข้างทางก็มีแต่พุ่มไม้เรียงรายเต็มไปหมด ไม่รู้จะไปทางไหนดี ได้แต่เดินไปข้างหน้าอย่างเดียว

“มึงกูเดินไม่ไหวแล้วว่ะ กูปวดหัวมากเลย เหมือนจะอ้วก” พริกแกงที่มีสีหน้าซีดลง ทำท่าพะอืดพะอม ยกมือขึ้นมาปิดปากของตน พูดไม่ทันขาดคำ อ้วกก็พุ่งออกมาจนเลอะเปรอะเปื้อนไปหมดทั้งตัว ไม่พอเท่านั้น ยังอ้วกรดใส่อัญชันที่ยืนพยุงพริกแกงอยู่ข้างๆ อีกต่างหาก

“มึง อะไรเนี่ย!! กูเลอะไปหมดแล้ว อี๋!! เหม็นก็เหม็น” อัญชันสะดุ้งตกใจ เผลอตะโกนออกไป เมื่ออยู่ดีๆ พริกแกงก็อ้วกใส่ตน

“มึง กูขอโทษ คือกูอั้นไม่ไหวจริงๆ” พริกแกงพูดจบก็เอามือขึ้นมากุมไปที่ขมับ แล้วหันหลังไปอ้วกใส่พุ่มไม้ เสียงอ้วกดังขึ้นมาเป็นระยะๆ

ขณะนั้นเอง!! ก็มีเสียงอสุรกายกรีดร้องดังขึ้นมาใกล้ๆ พอหันไปมอง ก็เห็นเป็นอสุรกายที่เคยเป็นเทวรูปที่อยู่ในโบสถ์ข้างแท่นหินที่มีหกแขนหกมือ ตอนนี้กลายเป็นอสุรกาย ตาสีขาวขุ่นมัวไม่มีตาดำ กำลังพุ่งตัวมาทางนี้ พร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดเสียงดัง เหมือนกำลังดมหากลิ่นอะไรสักอย่าง

“ขอโทษนะมึง” อัญชันพูดจบก็ยกเท้าที่สวมใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่ใจขึ้นมา ถีบเพื่อนที่ยืนหันหลังอ้วกอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว พุ่งหลบเข้าไปในพุ่มไม้ได้อย่างพอดิบพอดี ส่วนตัวเองนั้นก็วิ่งเข้าไปหลบอยู่ที่หลังพุ่มไม้ฝั่งตรงข้าม อสุรกายตัวนั้นที่กำลังเดินเข้าไปใกล้พุ่มไม้ ตรงที่อัญชันถีบพริกแกงเข้าไป เห็นมันทำจมูกฟุดฟิด เหมือนกำลังดอมดมอะไรสักอย่าง สักพักมันก็เบี่ยงหน้าออกมาจากพุ่มไม้ แล้วอ้าปากสำรอกของเหลวสีดำข้นผสมเลือดกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งออกมา เหมือนมันจะเหม็นอะไรสักอย่างมากจนทนไม่ไหว แล้วหันหน้าหนี รีบพุ่งตัวจากไปทันที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel