ตอนที่ ๔ อสุรกายกินคน
อัญชันที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้อีกฝั่งหนึ่ง กำลังคอยสังเกตการณ์อยู่ พอเห็นอสุรกายพุ่งตัวจากออกไปแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วทรุดตัวลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า มองสำรวจตัวเองที่เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยอ้วกของพริกแกง จากเสื้อยืดสีขาวเอวลอยกับกางเกงยีนขายาวที่สะอาดสะอ้าน ตอนนี้กลับมีแต่คราบอ้วกเป็นทางยาวตั้งแต่หน้าอกเสื้อลงไปจนถึงกางเกงยีนเหม็นคละคลุ้งไปทั่วร่าง
“กูควรด่ามึงที่อ้วกใส่กู หรือขอบใจมึงที่อ้วกใส่กูดีวะเนี่ย” อัญชันบ่นพึมพำ แล้วถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก
ตอนนี้ภายในตัวโบสถ์มีแต่เสียงกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน ทรมาน และเจ็บปวด คละปนกันไปหมด จนแยกแทบไม่ออกว่าเป็นเสียงร้องของผู้คนที่หนีตาย หรือเสียงร้องของอสุรกายกันแน่ อัญชันที่นั่งฟังเสียงนั้นเงียบๆ อยู่สักพักใหญ่ เมื่อทำใจได้แล้ว จึงชะโงกหน้าออกมาจากพุ่มไม้ เพื่อดูสถานการณ์รอบด้านว่าเป็นอย่างไร มองไปทั่วทิศทางว่ายังมีอสุรกายตัวอื่นอยู่แถวนี้อีกไหม
เมื่อมองไปรอบๆ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวโบสถ์ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ตนนั้นซ่อนตัวอยู่ เห็นผู้คนจำนวนหนึ่ง กำลังวิ่งไปมาอยู่ในโบสถ์นั้น อยู่ดีๆ ก็เห็นหัวของผู้ชายคนหนึ่ง ลอยออกมาจากหน้าต่างโบสถ์ ร่วงตกลงไปกับพื้นเสียงดังตุบ แล้วกลิ้งไปตามทาง มีอสุรกายตัวหนึ่งกำลังวิ่งตามเสียงหัวที่ตกแล้วกลิ้งไปตามพื้น อสุรกายตัวนั้นก้มตัวลงไปหยิบหัวที่พื้นนั้นขึ้นมา แล้วอ้าปากกว้างโยนหัวนั้นใส่ปาก หายวับไปในพริบตา แล้วเคี้ยวกินหัวนั้น อย่างเอร็ดอร่อย
อัญชันสะดุ้งตกใจ ช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า รีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ตนนั้นกรีดร้องออกมา แล้วรีบหลบเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ตามเดิมด้วยร่างกายที่สั่นเทา น้ำตาไหลพราก มือไม้สั่น สมองตื้อไปหมด จนไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าดี
“นี่มันเกิดเรื่องห่าอะไรขึ้นวะ!! กูอยู่ที่ไหน แล้วนี่มันวัดห่าอะไร!!” อัญชันพูดกับตัวเองด้วยเสียงที่เบาหวิวราวกับกระซิบ ดูสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก “นั่นมันตัวอะไร กูจะรอดมั้ย ทำยังไงดี กูจะทำยังไงดี” อัญชันยังคงพูดกับตัวเองต่อไปราวกับคนสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสียงนั้นสั่นเครือ น้ำตายังคงไหลนองหน้าไม่หยุด อัญชันยังคงคิดวนไปวนมาเพื่อหาทางเอาตัวรอด ห่วงตัวเองไม่พอ ยังต้องมาห่วงเพื่อนอีก เมื่อคิดได้ อัญชันก็รีบหันไปมองที่พุ่มไม้ฝั่งตรงข้ามที่ตนนั้นได้ถีบพริกแกงลงไป
“พริกแกง!! มึงได้ยินไหม มึงโอเคอยู่รึเปล่า” อัญชันมองไปที่พุ่มไม้ แล้วขานเรียกเพื่อนของตนด้วยเสียงที่เบาหวิวอย่างระมัดระวัง คอยมองไปทางซ้ายทางขวาตลอดเวลา กลัวว่าพวกอสุรกายจะได้ยินเสียงของตน แล้วโผล่ออกมาจ๊ะเอ๋เข้า
“มึง อย่าเงียบดิ!! ตอบกูหน่อย กูใจคอไม่ดี ตายห่ารึยังวะ!!” อัญชันยังคงเรียกเพื่อนของตนต่อไป แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากพริกแกงกลับมาเลย เมื่อชะโงกหน้าออกไปมองดีๆ หลังพุ่มไม้ ก็เห็นมีขาโผล่ออกมานิดหนึ่ง มองเห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงสดสะดุดตา นิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
“ฉิบหายและ!! แม่งน็อคตายไปแล้วรึเปล่าวะ” อัญชันอุทานขึ้นมา เมื่อเห็นเพื่อนนิ่งไปไม่ยอมตอบกลับตน
“ไปดูมันหน่อยละกัน” พออัญชันพูดกับตัวเองจบ ก็ชะโงกตัวออกมาไปจากพุ่มไม้ มองซ้ายมองขวา แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาพริกแกงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของพุ่มไม้ด้วยความระมัดระวัง
เมื่อเดินไปถึงก็เดินเข้าไปที่หลังพุ่มไม้ เห็นพริกแกงนอนคว่ำหน้าอยู่ อัญชันจึงเดินเข้าไปนั่งยองๆ ลงข้างๆ แล้วพลิกตัวของพริกแกงให้หันหน้าขึ้นมา ถึงกลับผละออกมา ยกมือขึ้นมาปิดจมูกทันที
เมื่อกลิ่นเหม็นชวนน่าอ้วกตีหน้าขึ้นมา พริกแกงที่นอนหมดสภาพ อ้วกนั้นเลอะเปรอะเปื้อนไปตามใบหน้า เส้นผม และร่างกายเต็มไปหมด ถึงได้บางอ้อขึ้นมาทันทีว่า ที่ตนนั้นถีบเพื่อน ให้หลบเข้าไปในพุ่มไม้ได้อย่างพอดิบพอดีนั้น คือถีบเพื่อนลงไปทับอ้วกที่เจ้าตัวนั้นได้อ้วกเอาไว้ ถึงว่าทำไมอสุรกายถึงไม่ได้กลิ่นตัวของพริกแกง ที่แท้ก็เพราะอ้วกของมันนี่เอง และที่อสุรกายหนีไปคงเป็นเพราะเหม็นกลิ่นอ้วกของมันนี่ละ
“เอาน่ะ จะมาเคืองกูทีหลังไม่ได้ อย่างน้อยๆ มึงก็ยังไม่ตาย แต่นี่อย่าบอกนะว่ามึงน็อคหลับกลางอากาศ เชื่อมันเลย” อัญชันลุกขึ้นมายืนเท้าเอว มองเพื่อนของตน ปากก็บ่นพึมพำอยู่คนเดียว
“กรี๊ดดดด…” ทันใดนั้น!! เสียงกรีดร้องน้ำเสียงแหบใหญ่ก็ดังขึ้น พอหันไปมอง อัญชันถึงกับตกใจหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นอสุรกายตัวหกแขนหกมือกำลังเดินตรงเข้ามาหาตนในระยะประชิด
มันทำจมูกฟุดฟิดดมหากลิ่นตรงหน้า พุ่งเข้ามาหาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อัญชันก้าวเท้าถอยหลังหนี ด้วยความตื่นกลัว สองแขนล่างของมันที่เคยอยู่ในท่าพนมมือแนบอก ตอนนี้มีกรงเล็บยาวน่ากลัวงอกออกมาจากปลายนิ้วทั้งห้า และกำลังกวักมือไปมากลางอากาศ
อัญชันที่กำลังถอยหลังหนีจากกรงเล็บนั้นอยู่ ด้วยความกลัว ไม่ทันระวัง สะดุดขาตัวเองลื่นล้มหงายหลังลงไปในบ่อโคลนเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลัง เสียงดัง ตู้มม!! พอดีกับที่กรงเล็บของอสุรกายตัวนั้น กวักเข้ามาข้างหน้า….เฮ้อออ รอดไปได้อย่างหวุดหวิด ถ้าไม่ลื่นล้มลงไปซะก่อนคงได้โดนกรงเล็บเข้าไปที่หน้าท้องเต็มๆ แน่
เมื่ออัญชันตกลงไปในบ่อโคลนเสียงดัง ก็ต้องตกใจกลัว เพราะคิดว่ามันจะได้ยินเสียงของตน แต่เปล่าเลย มันไม่ได้ยินเสียง มันยังคงเดินตามหาต้นตอของกลิ่น ทำจมูกฟุดฟิดดมหากลิ่นต่อไปเรื่อยๆ เมื่ออัญชันตั้งสติได้ จึงรีบหมุนตัวไปมาให้โคลนเลอะเปรอะเปื้อนเพื่อกลบกลิ่นตัวของตนเองทันที
ทันใดนั้นเอง!! เธอก็ได้ยินเสียงของอสุรกายอีกตัวกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง มันกำลังวิ่งพุ่งตรงเข้ามาทางนี้ อัญชันคิดว่ามันคงได้ยินเสียงของเธอตอนที่ตกลงมาในบ่อโคลนเป็นแน่
“กรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด……” อัญชันตกใจนิ่งค้างไม่กล้าขยับเขยื้อน เมื่อเห็นอสุรกายอีกตัวที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาหาตนนั้น อ้าปากกว้างเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมมือทั้งสองข้างที่กางออกไปกลางอากาศ แล้วกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น โดยมีอสุรกายที่มีหกแขนหกมือนั้นกรีดร้องรับเสียงกัน
อัญชันรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น ไม่ให้ตนนั้นมีเสียงเล็ดลอดออกมา แล้วพยายามนิ่งที่สุด เพราะกลัวอสุรกายตัวหลังนั้นจะได้ยินเสียงของตน
ก่อนที่จะหันไปมองทางด้านหลังของอสุรกายทั้งสองตัว ตรงพุ่มไม้ที่พริกแกงเพื่อนของตนนอนอยู่ ด้วยความเป็นห่วง ก็เห็นพริกแกงค่อยๆ ขยับตัว เหมือนเพิ่งจะได้สติ ตื่นขึ้นมา อัญชันได้แต่คิดในใจว่ามันจะตื่นขึ้นมาอะไรตอนนี้วะ สงสัยมันคงจะได้ยินเสียงของอสุรกายกรีดร้องแข่งกัน เสียงนั้นคงปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาแน่ๆ
พริกแกงที่ชันตัวลุกขึ้นมานั่งสะลึมสะลืออยู่นั้น หันไปมองรอบด้าน ก่อนที่จะมาหยุดชะงักค้างมองไปที่อัญชันด้วยความตกใจ ตาที่ปรืออยู่ก่อนหน้านั้นตอนนี้เบิกกว้าง อ้าปากพะงาบๆ เหมือนพริกแกงอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่คงพูดไม่ออก อัญชันคิดว่าพริกแกงคงหายง่วงเป็นปลิดทิ้งแล้วละ ดูจากสภาพนางแล้วช่างน่าสงสาร ตื่นขึ้นมาก็เจอแจ็คพอตเลย ไม่ได้มาเดี่ยวนะจ๊ะ มาแพ็คคู่แบบทูอินวัน อสุรกายโผล่มาแบบคู่หูดูโอ้ ไม่รู้ว่าระหว่างพริกแกงกับตัวเธอนั้น อัญชันควรจะสงสารใครมากกว่ากัน
อัญชันได้แต่ส่งสัญญาณมือ ยกนิ้วชี้ขึ้นมาทำท่าจุ๊ๆ ที่ปาก เพื่อไม่ให้พริกแกงส่งเสียงออกมา แล้วส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้เพื่อนของตน เพื่อเป็นกำลังใจให้ พริกแกงที่ตอนนี้ยังคงตกตะลึงนิ่งค้างอยู่ ก่อนจะได้สติ แล้วส่ายหน้ากลับมาให้ทันที
อัญชันอ่านปากของพริกแกงที่พูดส่งกลับมา แบบไม่ออกเสียงว่า “มึงกูไม่ไหวแล้ว กูจะเป็นลม”
ตอนนี้อสุรกายตัวหกแขนหกมือมันกำลังทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะกรีดร้องออกมา แล้วหันหลังเดินกลับไป เมื่อไม่ได้กลิ่นของอัญชันแล้ว แต่มันกลับเดินดมกลิ่นตรงเข้าไปหาพริกแกงแทน
พริกแกงที่นั่งนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น ตาตั้งขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ เมื่อเห็นอสุรกายตัวนั้น กำลังเดินตรงเข้ามาหาตน โดยมีอสุรกายอีกตัวเดินตามเสียงกรีดร้องของอสุรกายตัวนั้นมาติดๆ เธอสั่นกลัวไปหมด คิดว่าจะทำอย่างไรดี ถึงจะรอดไปจากตรงนี้ได้ ตาก็มองไปที่อสุรกายสองตัวนั้น ที่เดินเข้ามาใกล้ตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
อัญชันที่กำลังนั่งมองพริกแกงอยู่ เห็นพริกแกงนั่งเกร็งตัวตรงนิ่งค้างไม่ขยับ ปากก็บ่นพึมพำอะไรบางอย่าง แล้วอยู่ดีๆ ก็หงายท้องตึง หลับลงไปทันที
อัญชันที่เห็น ก็มองไปที่พริกแกงด้วยความตกใจ อย่าบอกนะว่าแม่งหลับไปอีกแล้ว เธอได้แต่อุทานและคิดในใจว่า นี่มันหลับลงไปได้ยังไงวะ อัญชันถึงกับยกมือขึ้นมากุมขมับ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ เพื่อนของเธอยังหลับได้ลง ประเด็นคือแม่งเล่นน็อคกลางอากาศไปเลย
เออ...เอากับมันดิ อัญชันได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะรู้ดีว่าพริกแกงมันมีนิสัยแปลกๆ เวลาที่มันตกใจหรือกลัวอะไรมากๆ มันมักจะเป็นลมหรือสามารถทำให้ตัวเองหลับไปเองได้แบบนี้ตลอด แทนที่จะอยู่ด้วยกันก่อน แต่มันกลับมาทิ้งกันไปเสียดื้อๆ แต่มาคิดดูอีกที ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยๆ มันก็จะได้อยู่เงียบๆ ไม่วุ่นวาย
อัญชันมองไปที่อสุรกายที่เดินเข้าไปหาพริกแกง ที่ตอนนี้น็อคหลับคาที่ไปแล้ว มันกำลังดอมดมกลิ่นไปมาตามร่างกายของพริกแกง สักพักเหมือนมันเพิ่งจะได้กลิ่น รีบผละหน้าหนีออกมาทันที ก่อนที่มันจะอ้าปากสำรอกของเหลวสีดำข้นผสมเลือดกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งออกมา เหมือนมันจะเหม็นมากจนทนแทบไม่ไหว มันกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น แล้วพุ่งตัวจากไปทันที โดยมีอสุรกายอีกตัวพุ่งตามหลังไปติดๆ
อัญชันได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปหาพริกแกงที่ยังนอนหลับอยู่ที่เดิม ได้แต่มองหน้าเพื่อนของตน แล้วขำออกมาเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าให้อย่างเอือมระอา
เมื่ออัญชันเห็นว่าไม่มีอสุรกายอยู่แล้ว จึงเดินกลับไปหลบที่หลังพุ่มไม้ ที่ตนเองเคยใช้หลบซ่อนอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะถ้าให้อยู่ตรงนี้ต่อคงไม่ไหว มันเหม็นเกินเยียวยาจริงๆ ทั้งกลิ่นอ้วกของเพื่อนและอสุรกายนั่น ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งชวนให้เวียนหัว คงไม่มีอสุรกายตัวไหนเข้ามาทำอันตรายมันได้หรอก ดูจากที่ผ่านมาแล้วสองครั้ง ถ้าเพื่อนอยู่ตรงนั้น ก็น่าจะปลอดภัยดี เหลือแต่ตัวของเธอเองที่คงต้องเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่เดิมก่อน
“เฮ้อออ….พอใจกับต้นกล้า และธารใส จะเป็นยังไงบ้างนะ” อัญชันได้แต่ถอนหายใจ แล้วพูดกับตัวเองออกมาอย่างกระวนกระวายใจ ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนๆ ของตน ที่หนีแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
“ขอให้ทุกคนปลอดภัย ไม่เป็นอะไรด้วยเถิด” อัญชันพูดจบ ก็พนมมือยกขึ้นไหว้เหนือหัว ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ซึ่งวันนี้ไม่รู้ว่าตนนั้น ถอนหายใจทิ้งไปรอบที่เท่าไหร่แล้ว คงนับครั้งไม่ถ้วน
ขณะที่อัญชันกำลังนั่งคิดเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดอยู่คนเดียวอย่างเหม่อลอย กำลังคิดว่าตนนั้น จะหาเพื่อนของตนทั้งหมดให้เจอ แล้วพากันออกไปจากที่นี่พร้อมกันได้อย่างไร
“กรี๊ดดดด….” อัญชันที่อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคู่หนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นพอจะบอกให้รู้ได้ว่า พวกเธอกำลังจะวิ่งผ่านมาทางนี้
อัญชันจึงรีบชะโงกหน้าออกไปมอง เพื่อจะบอกหญิงสาวคู่นั้นว่าให้หยุดส่งเสียง แล้วหาที่หลบ แต่ยังไม่ทันได้บอกด้วยซ้ำ ก็เห็นอสุรกายสองตัว วิ่งตามเสียงกรีดร้องของหญิงสาวมาอย่างว่องไว พวกมันจับหญิงสาวทั้งสองคนนั้น ยกตัวลอยขึ้นมากลางอากาศ
“ช่วยด้วยค่ะ!! ช่วยด้วยยยย!!” หญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกยกตัวขึ้น หันมาเห็นอัญชันเข้าพอดี จึงร้องขอความช่วยเหลือ แต่ยังพูดไม่ทันจบดี ก็ถูกฉีกร่างแยกออกจากกัน เป็นสองซีก ต่อหน้าต่อตาอัญชัน ก่อนที่อสุรกายตัวนั้น จะอ้าปากกว้างแล้วงับหญิงสาวคนนั้นเข้าปากไปทั้งซีก และเสียงตรงหน้าก็เงียบลง
อสุรกายสองตัวนั้นจากไปอย่างรวดเร็ว อัญชันยังคงยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังคงติดตาอยู่เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปหมดในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที อัญชันช็อกทิ้งตัวนั่งลงไปกับพื้นอย่างหมดแรง แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความสะเทือนใจ ที่ตนนั้นช่วยอะไรผู้หญิงสองคนนั้นไม่ได้เลย จะทำยังไงดี!! จะทำยังไงดี!! ฉันจะทำยังไงดี!! เธอกลัวมากจนร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ตัวของเธอนั้นสั่นไปหมด มือไม้สั่นไม่หยุด อัญชันได้แต่คิดวนไปวนมาด้วยความหวาดกลัว