ตอนที่2.1 เรื่องบังเอิญ
“ฉันก็ไม่ได้ให้ลูกสาวคุณไปแบกหามหรือทำงานหนักอะไรสักหน่อย งานครัวเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง เห็นมีแต่คนชม ฉันใช้งานนิดหน่อยทำเป็นบ่นหรือไงคะ” คะนึงนิจแย้งเสียงแข็ง
“ยัยหลันไม่ใช่ลูกจ้าง คุณจะใช้อะไรก็นึกถึงหน้าผมสักนิดสิ” โอภาสตอกกลับ
“อย่าทะเลาะกันเลยค่ะ หลันไหว คุณพ่ออย่าห่วงไปเลย” บุหลันพูดแทรก
“เห็นไหมคะ ลูกสาวคุณไม่อะไร คุณจะเล่นใหญ่ทำไม”
“อ้าว หลันอยู่นี่เอง คุณลุงอยากได้อะไรเพิ่มเหรอคะ” เพรียวโผล่มาพอดี บรรยากาศอึมครึมเลยลดลง
“แม่เพรียวเขาเป็นแม่แรงนะคุณ ไม่ใช่ลูกสาวคุณหรอก” คะนึงนิจได้ทีพูดสำทับไปอีก
“เพรียวเป็นลูกมือหลันค่ะ ถ้าเพรียวลงมือเอง คุณป้าคงถูกนินทาจนหูชาไปแล้ว” เพรียวแย้งหน้าตาย แม้รู้ผลลัพธ์ดี แต่ไม่อยากให้คนเป็นป้าทับถมบุหลัน
“ยัยเพรียว!!” คะนึงนิจตวาดเสียงแว๊ด หลานสาวคนนี้เข้าข้างบุหลันออกนอกหน้า จนนางเริ่มทนไม่ไหว
“เพรียวพูดความจริงค่ะ ยัยหลันเก่งจริง ไม่อย่างนั้นจะมีผู้ใหญ่ใจดีเรียกใช้บ่อยๆ เหรอคะ” บุหลันเป็นเด็กว่าง่าย แถมมีฝีมือเรื่องงานครัว ผู้ใหญ่หลายท่านในตระกูลเลยเรียกใช่ไม่ขาด งานสมาคมใหญ่ๆ บุหลันก็เคยไปแสดงฝีมือมาแล้ว
“ฉันเบื่อฟังหล่อนแล้ว ไปค่ะคุณพี่ ตรงนี้อบอ้าวจะตาย” คะนึงนิงรั้งแขนสามี แล้วก็สะบัดค้อนให้หลานสาว
“แกจะทนทำไม แม่เลี้ยงปากร้ายแบบนี้ ควรสั่งสอนกลับไปบ้าง จะได้ไม่ข่มกันเกินไป”
“ที่พูดถึงนั่น ป้าสะใภ้แกนะยัยเพรียว”
“พี่สะใภ้พ่อฉันแล้วไง ไม่ใช่แม่ฉันสักหน่อย” เพรียวแย้งกลับ “หิวแล้ว ไปหาที่นั่งกินข้าวกันเถอะ แกน่ะได้กินบ้างหรือยัง” เพรียวรั้งบุหลันเดินไปในครัว “ว่าแต่ แกเจอหมอนั่นหรือยัง?” เพรียวถามต่อ
บุหลันตัวเกร็งแล้วก็รีบส่ายหน้า “...”
“แกโกหก ฉันมองหน้าแกฉันก็รู้แล้ว ว่าแต่... แกไปเจอหมอนั่นตอนไหน ทำไมฉันไม่เห็น” สีหน้าและแววตาของบุหลันปิดไม่มิด
“บังเอิญน่ะ” บุหลันอ้อมแอ้มตอบ
“ไม่มีเรื่องบังเอิญบนโลกใบนี้หรอก” เพรียวแย้ง มองบุหลันด้วยแววตาผสมความเห็นใจ มีหลายเรื่องที่บุหลันแบกไว้ แต่ละเรื่องก็หนักๆ ทั้งนั้น
“แกคิดจะย้ายออกไปจากบ้านตอนไหน?” และเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่บุหลันกำลังคิดหนัก
“ไม่รู้สิ ยังไม่มีโอกาสพูดกับพ่อเลย” บุหลันถอนใจหลังพูดจบ คะนึงนิจไม่เคยเห็นเธอเป็นคนในครอบครัว เธอเป็นภาระที่นางต้องแบกรับไว้ ทั้งที่ความจริงเกลียดและชิงชังเธอจนแทบทนไม่ไหว
“คุณลุงน่ะ ไม่มีทางยอมหรอก” โอภาสเป็นคนพาบุหลันมาอยู่ที่นี่ มีการต่อต้านตั้งแต่วันแรก แต่เขาก็ยืนกราน จนคะนึงนิจต้องจำใจยอม ข้อแม้เดียวที่นางยื่นให้ คือไม่มีทางป่าวประกาศรับรองสถานะของบุหลันให้คนภายนอกรับรู้ ซึ่งโอภาสเองก็ยอม เขาเองก็อับอายไม่น้อยที่หญิงคนรักรับเงินก้อนใหญ่จากคะนึงนิจแลกกับการออกไปจากชีวิตโอภาส ทิ้งลูกน้อยไว้ให้เขาดูต่างหน้า
“พ่อน่าจะเข้าใจหลันบ้าง” ความอึดอัด ลำบากใจใต้ชายคาคฤหาสน์หลังนี้โอภาสไม่มีทางรู้ คะนิงนิจปิดบังไว้ และแสร้งทำดีกับลูกเลี้ยงที่เป็นหนามทิ่มแทงใจเธอ หรือไม่อีกในหนึ่ง โอภาสรู้ แต่เขามีความเห็นแก่ตัวมากกว่าเลยแสร้งทำเป็นปิดหูปิดตามองไม่เห็นความลำบากที่บุตรสาวต้องเผชิญ
“ค่อยๆ คิดไปเถอะ สักวันโชคอาจเข้าข้างแกบ้างหลัน” เป็นทั้งเพื่อนทั้งญาติ เพรียวเลยพูดมากไม่ได้ “แกเรียนจบแล้ว คงมีข้ออ้างดีๆ สักเรื่องแหละ แค่ตอนนี้ยังนึกไม่ออก”
บุหลันเห็นด้วยกับความคิดของเพรียว
เธอต้องทำใจเย็นๆ เธออดทนมาได้ถึงขนาดนี้ อดทนอีกสัหน่อยคงไม่เป็นไร
“ว่าแต่ ที่คุยๆ กันไว้ ตกลงได้เรื่องหรือเปล่า”
บุหลันส่ายหน้า “ยังเลย ยังไม่คำตอบ แต่ทางนั้นก็สนใจไม่น้อยนะ เขาแค่ยังไม่ไว้เรามั้ง นอกจากผลงานที่ส่งให้ดู ไม่มีอย่างอืนรับประกันเลย” บุหลันอธิบาย
“หลัน เราเปิดบริษัทกันเถอะ บางทีเขาอาจมั่นใจขึ้น”
“น่าสนใจนะ แต่ฉันไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน”
“เดี๋ยวฉันไปปรึกษาพ่อก่อน พ่อน่าจะแนะนำได้”
“ดีจัง หละนอยากมีที่ปรึกษาแบบเพรียวบ้าง” บุหลันพึมพำ
ในฐานะผู้อาศัยที่คนภายนอกรู้ นอกนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าบุหลันเป็นสมาชิกคนหนี่งของครอบครัวพินิจดำรง เธอต่างจากคนอาศัยแค่นิดเดียว ตรงเธอได้เรียนต่อ แม้จะต้องกระเสือกกระสนเลือดตาแทบกระเด็นก็ตาม