ตอนที่2.เรื่องบังเอิญ
ตอนที่2.เรื่องบังเอิญ
บุหลันถอนใจแรงๆ จากนั้นก็เงยหน้ามองพระจันทร์เสี้ยวที่ส่องแสงสีนวลลอยอยู่เหนือยอดไม้ เธอคิดอะไรเพลินๆ จนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน ที่เดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่ง...
“อะแห้ม!!” เสียงกระแอมฉุดบุหลันออกมาจากภวังค์ เธอเหลือบมองด้วยหางตา ก่อนจะกระโจนไปหลบอยู่ด้านหลังเก้าอี้เหล็กตัวที่ตัวเองนั่งอยู่
ภามรู้สึกแปลกใจกับท่าทางตระหนกของหญิงตรงหน้า เขาแอบสำรวจหล่อนคร่าวๆ ท่ามกลางแสงสลัวของพระจันทร์ ‘สวย’ ขนาดหญิงตรงหน้าไม่ได้ประทินโฉมอะไรเลย ความงามของหล่อนก็ยังกระแทกตาเขา จนไม่อาจละสายตาได้ ผมดำขลับที่ถูกมัดเป็นพวงด้านหลังท้ายทอยนั่นดำแข่งกับความมืด กลิ่นอาหารที่แทรกอยู่ตามเนื้อผ้าก็ไม่ได้ทำให้เขานึกรำคาญเหมือนเคย
คงเพราะตัวเองอยู่กับความสมบูรณ์แบบของหญิงที่เคยคบหา
พอได้เจอกับหญิงที่สวยจากเนื้อแท้ ภามเลยอดไม่ได้ที่จะสนใจ
เขาหลุบเปลือกตาลง ปิดบังแววตาวาววาม
“เธอกลัวฉันเหรอ” ภามถามคำถามแรก
บุหลันชั่งใจระหว่างหนีไปดื้อๆ กับการตอบคำถามของชายตรงหน้า
“เป็นใบ้หรือไง หรือว่าเป็นกฎของคนบ้านนี้” ภามถามต่อ
บุหลันผ่อนลมหายใจ รู้สึกผ่อนคลายลง ชายตรงหน้าไม่มีอะไรที่ทำให้เธอกลัวได้อีกแล้ว ความคลั่งไคล้เขาเหมือนสมัยก่อน ก็ไม่ได้ท่วมท้นเหมือนเก่า เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วก็ตอบด้วยเสียงเรียบเรื่อย “ฉันไม่ได้เป็นใบ้ค่ะ แค่ไม่รู้ว่าจะต้องตอบคุณยังไงดี”
ภามยิ้มกวนโทสะ รอยยิ้มนั่นกระตุกต่อมโมโหของบุหลันได้เป็นอย่างดี “ก็ตอบ ตามที่ฉันถามนั่นไง”
“คงเพราะคำถามของคุณกว้างเกินไป ฉันเลยไม่รู้ว่าจะตอบแบบไหน ถึงทำให้คุณพอใจได้ค่ะ” ปลายคางบุหลันเผลอยกเชิดขึ้น
ภามหรี่เปลือกตาลง “ฉันอาจจะใช้ภาษาที่เธอฟังแล้วไม่เข้าใจก็ได้” เขาหมดความสนใจหญิงตรงหน้า คำตอบของหล่อนทำให้ภามเอือมระอา ผู้หญิงสวยไร้สมอง ไม่ควรค่าให้เขาสนใจสักนิด
“ค่ะ อาจจะเป็นอย่างนั้น” บุหลันแค่นตอบ เธอรู้ดีว่าชายผู้นี้เข้าใจตนเองแบบไหน
แต่การอยู่ห่างๆ เขา น่าจะปลอดภัยกับตัวเองมากกว่า เขาอยากเข้าใจแบบไหน ก็แล้วแต่เลย...
ก่อนที่ภามจะเดินจากไป เขาเหลียวกับมามองบุหลันซ้ำ ปลายเท้าที่กำลังจะขยับเดินชะงักค้าง “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?” เป็นคำถามที่ทำเอาบุหลันสะดุ้ง!! เธอเก็บอาการแทบแย่ กลัวว่าตัวเองจะเผลอเผยพิรุธออกไปจนชายตรงหน้าจับได้
เธอส่ายหน้า ไม่กล้าปริปาก กลัวว่าเสียงเธอจะสั่น และเป็นพิรุธให้เขาสังเกตเห็น
“เหรอ...หน้าเธอคุ้นตาฉันพิกล ช่างเถอะ!!” ภามพูดเอง แล้วก็ตัดบทเอง เขาเดินจ้ำอ้าว พยายามสลัดแววตาจัดจ้าที่เปล่งแสงแข่งกับแสงสีนวลของจันทราออกไปจากใจ
“ไม่หรอก!!” เขาพึมพำ หลังภาพใครบางคนวิ่งมาซ้อนทับวงหน้าลออตานั่น
“นังหลัน ฉันสั่งให้แกคอยดูแลยัยพริไม่ใช่เหรอไง!!” คะนึงนิจตะเบ็งเสียงแหลม ตอนที่บุหลันเดินผ่านเงาไม้ด้านข้างตัวตึกเข้ามาใต้ชายคาบ้านพินิจดำรง
“คุณท่านมีเรื่องจะใช้หลันเหรอคะ” บุหลันพยายามไม่สนใจน้ำเสียงกระด้างนั่น
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องพูด หล่อนหายหัวไปไหนมายะ” คะนึงนิจยังตะคอกต่อ
“หลันรู้สึกตื้อๆ เลยออกไปสูดอากาศในสวนค่ะ”
“คนอย่างหล่อนทึกเหมือนควาย งานเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้อย่ามาแสร้งทำสำออยหน่อยเลยยะ”
คะนึงนิจกระแทกเสียงใส่ “คุณ มาทำอะไรแถวนี้ อ้าวยัยหลันนั่นเอง ทำไมมาอยู่ที่มืดๆ ตรงนี้ละ ออกไปสนุกกับพี่เขาสิ”
โอภาสเดินมาสมทบ คะนึงนิจรีบปรับสีหน้า “คุณนั่นแหละค่ะ มาทำอะไรแถวนี้คะ คุณน่ะควรออกไปรับแขก ฉันเห็นตาภามแว๊บๆ คุณควรไปเกริ่นกับเขาสักหน่อยนะคะ”
“คนเยอะจนตาลาย ผมเลยหลบมาพักตาสักหน่อยน่ะ” โอภาสตอบภรรยา และก็ผินมองบุตรสาวคนเล็ก ใบหน้ามันย่องนั่นทำให้เขารู้สึกผิดเพิ่มขึ้น “ใช้งานยัยหลันให้มันน้อยๆ หน่อยสิคุณ ใช่ว่าเราไม่มีเงินเสียหน่อย” เขาปรามคะนึงนิจเสียงเรียบ หลายครั้งที่โอภาสเห็นว่าบุหลันถูกกดขี่ แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะไม่อยากให้เกิดการกระทบกระทั่ง ยังไงบุหลันก็ปลอดภัยใต้ชายคาคฤหาสน์พินิจดำรง เขาวางใจไม่ลงที่จะปล่อยบุหลันออกไปเผชิญชะตากรรมที่โลกภายนอก