บทที่ 1 คุณพ่อมือใหม่ หัวใจโสดซิง 2
“ผมจะไปทำงานแต่แวะมาขอความรักจากคุณพิณก่อน” พ่อหนุ่ม(เหลือ)น้อยวัย50ปีที่เพิ่งเจอรักแรกพบพูดขึ้นด้วยท่าทางเจ้าชู้ ยกมือขึ้นเสยผมที่เริ่มหงอกของตัวเองด้วยท่าทางเท่ๆ
“ไม่ต้องมาขอหรอกค่ะคุณลุง ฉันไม่มีจะให้” ประภาพิณตอบออกมาอย่างไร้เยื่อใย
“มาเรียกลุงแบบนี้ได้ไง พี่ยังไม่แก่สักหน่อย” ธงชัยตีหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจ ก็เขาส่องกระจกทุกวัน เขามั่นใจว่าเขาน่ะโคตรหล่อเลย แถมยังหนุ่มแน่น แล้วทำไมประภาพิณถึงยังปฏิเสธเขาอีก
กรุ๋งกริ๋ง กริ๊งๆ
เสียงโมบายดังขึ้นอีกครั้งพร้อมประตูที่เปิดออกทำให้ทั้งสองคนต้องหันไปมองพร้อมๆกันและก็ได้พบกับ...ชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาดุดัน ตาคมกริบ หนวดเครารุงรังปากงอหงิกจนแทบจะเป็นจวัก ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มแหกปากร้องลั่นแงๆอยู่
“อะ เอ่อ” ประภาพิณรู้สึกเหมือนกรามจะค้างขึ้นมาทันที เพราะดูจากลักษณะของเขาแล้ว ไม่น่าจะมาซื้อดอกไม้เลยสักนิด
“คุณเป็นใคร” ธงชัยถามเสียงห้วนด้วยความหวงผู้หญิงที่เขาหมายปองมา2วันเต็มๆ
“ประภาพิณ คุณต้องมาเลี้ยงเด็กให้ผม!” เสียงห้าวพูดขึ้นมาอย่างไม่คิดจะสนใจตอบคำถามของธงชัยสักนิด
“ห๋า!” ประภาพิณอ้าปากค้างอย่างไม่มั่นใจว่าตัวเองหูฝาดหรือเปล่า
“คุณฟังไม่ผิดหรอก คุณต้องเลี้ยงเด็กคนนี้ให้ผม” เขาย้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะปรายตามาทางธงชัยเล่นเอาหนุ่มน้อยที่เริ่มมีรอยตีนกาขึ้นต้องสะดุ้งโหยง
“ขอโทษครับ คุณเป็นลูกค้าหรือเปล่า” ธัศไนยถามออกมา
“มะ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นแค่คนที่เดินผ่านมา และก็กำลังจะผ่านไปครับ” พูดจบ ธงชัยก็หันหลังเดินออกไปจากร้านทันทีโดยไม่คิดจะหันมาอำลาผู้หญิงที่ตนแอบหลงรักมานานถึง48ชั่วโมงเลยสักนิด
ฟึ่บ!
พอลับหลังของชายหัวหงอกแล้ว ธัศไนยก็ชูแผ่นกระดาษขึ้นมาตรงหน้าหญิงสาว ในขณะที่มืออีกข้างก็ยังคงอุ้มเมธากรอยู่แบบนั้น
“อะไรคะ” ประภาพิณทำหน้างงๆ
“คุณเป็นหนี้ผม2ล้านครึ่ง” เขาตอบมา เล่นเอาประภาพิณตาแทบถลนออกมานอกเบ้า มือเรียวรีบฉกแผ่นกระดาษจากมือของเขามาอย่างรวดเร็ว กวาดตามองอ่านสัญญากู้เงินฉบับนั้นอย่างละเอียด แล้วใบหน้างามก็เริ่มซีดลงเรื่อยๆจนแทบจะไม่มีสีสัน
“เป็นไปไม่ได้”
“แต่มันคือเรื่องจริง คุณเป็นหนี้ผม2,500,025บาทถ้วน แต่ว่าผมใจดี เศษอีก25บาท ผมไม่เอา”
“ฉันไปเป็นหนี้คุณได้ไง”
“พ่อคุณเป็นหนี้ผม” เขาย้ำต่อเสียงดังฟังชัด
“ไม่จริง”
“พ่อคุณติดการพนัน”
“แต่พ่อฉันตายแล้ว”
“ใช่ เมื่อพ่อคุณตายแล้ว คุณก็ต้องใช้หนี้แทนสิ หรือว่าคิดจะเบี้ยวผม งั้นผมจะฟ้องคุณ” เขาขู่ด้วยน้ำเสียงเอาจริง
“มะ ไม่นะ”
“งั้นคุณต้องช่วยผมเพื่อล้างหนี้”
“จะให้ฉันช่วยอะไร” หญิงสาวถามเสียงสั่น ความกล้าที่เคยมีพลอยหดหายไปหมดเมื่อสบกับดวงตาดำดุคู่นั้น
“คุณต้องช่วยผมเลี้ยงเด็กคนนี้” เขาชี้นิ้วไปที่หัวกลมๆของเด็กน้อยวัยหกเดือน
“แต่ฉันมีงานต้องทำนะ”
“คุณก็ปิดร้านขายดอกไม้แล้วไปอยู่ที่บ้านผมสิ” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจตัวเอง
“ไม่ได้ กว่าร้านของฉันจะเติบโตมาได้ รู้มั้ยว่าฉันเหนื่อยแค่ไหน ฉันไม่มีทางทิ้งมันไปแน่ๆ เงิน2ล้าน ฉันจะหามาใช้คุณทีหลัง”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ คุณถึงจะหาเงิน2ล้านมาใช้ผมได้”
“ฉันขอเวลา1ปี”
“ไม่ได้ ตั้ง1ปีเชียวเหรอ พ่อคุณติดหนี้ผมมา4ปีแล้วนะ”
“งั้นฉันขอเวลา11เดือนครึ่ง” ประภาพิณพยายามต่อรอง น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
“ไม่ได้ คุณต้องจ่ายเงินให้ผมตอนนี้ ถ้าจ่ายตอนนี้ไม่ได้ก็ต้องมาเลี้ยงเด็กใช้หนี้ให้ผม”
“ฉันจะไปหาเงินมาจากไหนตั้ง2ล้าน”
“2ล้านครึ่งต่างหาก ไม่ใช่แค่2ล้าน งั้นผมให้เวลาคุณ1เดือน ถ้าหาเงินมาให้ผมไม่ได้ คุณต้องมาอยู่ที่บ้านผมแล้วก็เลี้ยงเด็กคนนี้ให้ผม” เขาพูดเสียงห้าวดุดัน ดวงตาเป็นประกายเอาจริงจนหญิงสาวต้องหลบสายตา รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“อีก1เดือนผมจะมารับเงิน” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปพร้อมเมธากร ทิ้งไว้แต่ความเงียบงัน ร่างบางค่อยๆทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น เธอจะไม่ร้องไห้หรอกนะ แต่เธอรู้สึกปวดหัวเหลือเกิน ปวดจนแทบจะระเบิด
ปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความคิดที่หมกมุ่น…เธอเคยได้ยินพ่อพูดไว้ก่อนตายเหมือนกันว่าไปสร้างหนี้เอาไว้ แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าหนี้ของพ่อจะมากมายถึงขนาดนี้
เธอรักร้านดอกไม้แห่งนี้เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเธอ แล้วอยู่ๆจะให้ทิ้งมันไปกลางคันเพื่อไปเลี้ยงเด็กให้เขาอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้!
จะไปต่อว่าเขา เขาก็ไม่ผิดเสียด้วยสิ เพราะพ่อเธอไปติดหนี้เขาไว้จริงๆ หลักฐานที่เขาเอามายื่นให้ดูเป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาพูดจริง นับว่าเขายังดีกับเธออยู่มาก เพราะเขาบอกว่าถ้าเธอไม่มีเงิน เธอจะต้องไปเลี้ยงเด็กให้เขา ไม่ได้เอาปืนมาขู่ทวงหนี้อย่างที่เคยเห็นในละคร แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ...เขาจะใช้ให้เธอดูแลเด็กไปกี่เดือนหรือ...กี่ปีนี่สิ กว่าจะหมดหนี้2ล้านกว่า แล้วเธอจะทิ้งร้านดอกไม้ไปได้ยังไงกันเพราะนี่คืออาชีพของเธอ!
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากสีชมพู ร้านที่มีดอกไม้มากมายสดใสมาตอนนี้กลับดูมืดหม่นเพราะเจ้าของร้านดูซึมเศร้าโดยเฉพาะดวงตาคู่สวยที่หมองลงจนสิ่งรอบข้างพลอยไร้ชีวิตชีวาไปด้วย
“เงียบๆโอ๋ๆๆ” ธัศไนยนั่งโอ๋เมธากรอยู่บนพื้นซึ่งปูกระเบื้องสีขาวลายดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋มเอาไว้ แต่ใบหน้าคมกลับบูดบึ้ง เขาชอบใช้ชีวิตอยู่คนเดียว นับตั้งแต่พ่อแม่ตาย เขากับไชยวัฒน์ก็ขายบ้านหลังใหญ่ น้องชายเขามีที่ดินอยู่แถวกรุงเทพที่พ่อยกให้ จึงได้ไปอยู่ที่นั่น ส่วนเขาก็มาสร้างบ้านชั้นเดียวแต่กว้างขวางอยู่ใกล้ๆภูเขา ที่นี่เป็นจังหวัดเดียวกันกับที่พ่อแม่เขาเกิด เขาจึงรักที่นี่มากและไม่คิดจะย้ายไปอยู่เมืองหลวงเหมือนผู้เป็นน้องชาย
เขาเคยอยู่คนเดียว มีสุราบ้างนิดๆ มีสาวๆมาพัวพันพอสมควร แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะตกลงปลงใจกับใคร ยังคงครองความโสดต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งน้องชายโยนภาระตัวน้อยมาให้เขาเลี้ยงดู แล้วเขาจะทำยังไงล่ะทีนี้ เขาเลี้ยงเด็กไม่เป็น ถ้าจะให้เขาไปจ้างใครมาเลี้ยง เขาก็กลัวว่าลูกจ้างจะเลี้ยงหลานของเขาได้ไม่ดีพอ แต่ถ้าจะให้สาวๆที่ตามจีบเขามาช่วยเลี้ยงให้ เขาก็รักความสันโดษในบ้านหลังนี้เกินกว่าจะให้ใครเข้ามายุ่มย่ามได้
บังเอิญธัศไนยไปเจอแผ่นสัญญาเงินกู้ของพ่อประภาพิณเข้าพอดี เขาจำได้ว่าพ่อของเขาเคยเล่าให้ฟังว่าลูกหนี้ของพ่อคนนี้มีลูกสาวสวย ทำงานอยู่ที่ร้านดอกไม้ เขาจึงคิดจะให้เธอมารับหน้าที่เลี้ยงหลานให้เขา เพราะเขามีความคิดว่า...
ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเธอเป็นลูกหนี้ของเขาแล้ว ฉะนั้นเธอก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ เธอคงเลี้ยงหลานเขาได้ดีและไม่กล้ายุ่งกับชีวิตส่วนตัวของเขามากนัก
นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องดั้นด้นอุ้มเมธากรไปหาเธอถึงร้านขายดอกไม้
ดวงตาคู่ดุเหลือบขึ้นมองนาฬิกาข้างฝาผนังเห็นว่าเป็นเวลา1ทุ่มแล้ว วันนี้เขาปอกกล้วยแล้วใช้ช้อนบดกล้วยป้อนเมธากรไปแล้วครึ่งลูก แต่ทำไมหลานของเขาถึงยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด ก็บอกแล้วไงว่าเขาเลี้ยงเด็กไม่เป็น
ธัศไนยหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่อย่างกังวลใจ ถึงแม้ว่าการเลี้ยงเด็กจะยากเย็นแค่ไหน เขาก็จะพยายามเลี้ยงเมธากรให้ดีที่สุด เขาจะรอจนกว่าจะครบ1เดือนตามสัญญา เพราะเขาคิดว่าประภาพิณคงจะหาเงินมาใช้เขาไม่ได้แน่ๆ
ดวงตากลมโตที่ฉายชัดถึงความตกใจลอยเข้ามาในห้วงคำนึง ทำให้เขาต้องสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่วงหน้าหวานๆของเจ้าของร้านดอกไม้ให้ออกไปจากความคิด
เพราะดวงตาคู่นั้นของเธอนั่นแหละ เขาถึงได้ตัดสินใจที่จะให้เวลาเธอ1เดือน เพื่อที่เธอจะได้มีเวลาเตรียมตัวและทำใจ
หมับๆ
มือเล็กๆของหลานชายในอ้อมแขนเอื้อมมาหยิกหน้าอกแบนๆที่ไม่ได้สวมเสื้อปกปิดของเขาหยับๆ
“มีอะไร” เขาถามเมธากร แต่หลานชายตัวดีกลับทำหน้าเหมือนจะยิ้มเห็นเหงือกแดงแจ๋แล้วปากเล็กๆก็อ้างับเข้าที่นมของเขาเต็มๆ
“เฮ้ยย!” ธัศไนยร้องลั่น พยายามดึงเด็กชายออก แต่เมธากรกลับมีแรงมากกว่าที่คิด เพราะมันดูดจ๊วบๆจนชายหนุ่มขนลุกซู่
“พอๆลุงไม่มีนมนะ” เขาโวยวายก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างโล่งอกเมื่อสามารถดึงตัวหลานชายออกจากหน้าอกของตัวเองได้สำเร็จ ดวงตาคู่ดุลุกวาบขึ้นพร้อมกับคิดในใจอย่างเด็ดขาดว่า
‘เขาจะไม่รอเวลาอีกต่อไป คืนนี้แหละ เขาจะต้องบุกเข้าไปเอาตัวประภาพิณมาเลี้ยงเมธากรที่บ้านของเขาให้ได้ คอยดู!!’