บทที่ 1 คุณพ่อมือใหม่ หัวใจโสดซิง 1
บทที่ 1
คุณพ่อมือใหม่ หัวใจโสดซิง
บรรยากาศรอบข้างหนาวเย็นจนร่างสูงต้องดึงผ้าห่มขึ้นคลุมอกพลางพลิกตัวนอนหันหลังตะแคงข้าง สองหูแว่วได้ยินเสียงหนึ่งแผดลั่นท่ามกลางความเงียบงันของยามค่ำคืน
“แง แง้ แงๆๆๆ”
ธัศไนยขมวดคิ้วมุ่น ขยับตัวนอนแผ่หงายพร้อมเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ความคิดแรกที่วูบเข้ามาในสมองของชายหนุ่มก็คือ...ใครมาเปิดโทรทัศน์ในตอน ตี2แบบนี้
แต่พอคิดอีกที ที่บ้านหลังนี้มีแค่เขาเพียงคนเดียว แล้วจะมีใครมาเปิดละครดูได้ยังไง
ชายหนุ่มลุกลงจากเตียงกว้างสีฟ้าสดใสพร้อมเปิดไฟในห้องนอนจนสว่างก่อนที่ธัศไนยผู้ที่ไม่เคยเกรงกลัวใครจะหันไปหยิบปืนสั้นในลิ้นชักห้องออกมาเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง รีบก้าวเท้าไปยังประตูแล้วเปิดออก
และทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนผ่างออกมา สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือตะกร้าใบขนาดย่อมที่กองอยู่ใกล้ๆเท้าของเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลามืดแต่แสงไฟจากในห้องนอนที่ส่องลอดออกมาก็ทำให้เขาเห็นถึงสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่กำลังนอนอ้าปากกว้างร้องไห้เสียงจ้าอยู่ในนั้นเป็นอย่างดี
ปืนในมือของเขาแทบจะหล่นลงกับพื้นเมื่อตาคมเบิกกว้างขึ้นพร้อมอุทานออกมาเสียงดังลั่นอย่างตกใจ
“เฮ้ย!”
ใครกันบังอาจเอาเด็กน้อยหัวล้านมาวางไว้ในบ้านของเขา มันเป็นใครกันนนนนน!!!
พรึ่บ!
แสงไฟถูกเปิดจนสว่างทั่วบ้านหลังใหญ่แต่เป็นบ้านชั้นเดียวทาสีฟ้าอ่อนดูน่ารักสดใสผิดกับหน้าตาของเจ้าของบ้านที่ทำท่าเหมือนอยากจะฆ่าใครสักคนให้ตายคามือเมื่อก้มลงหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆสีขาวซึ่งแปะอยู่ข้างตะกร้าของเด็กน้อยตัวจ้อยขึ้นมาอ่าน
‘พี่ครับ กว่าพี่จะได้เห็นเด็กคนนี้ ผมก็คงจะไปไกลแล้ว เด็กคนนี้เป็นหลานของพี่นั่นแหละครับ ผู้หญิงที่ผมคบหาด้วยเขาเกิดท้องขึ้นมาแล้วเอาลูกมาให้ผมเลี้ยง ส่วนตัวเขาก็หนีผมไป ผมเลี้ยงเด็กไม่เป็นจริงๆครับ หวังว่าพี่คงเข้าใจผม ปล.ลิง เด็กคนนี้ชื่อเมธากรครับ ชื่อเล่นชื่อน้องเม ชื่อหวานๆหน่อยเพราะเขาหน้าหวานเหมือนพ่อ ก๊ากๆๆ’ พออ่านจนจบใจความในกระดาษ ขมับของธัศไนยก็เต้นตุบๆขึ้นมาทันทีราวกับว่าเส้นเลือดในสมองกำลังจะแตก ดวงตาคมดุตวัดมามองเด็กน้อยที่ใส่เพียงเสื้อแต่ช่วงล่างเปลือยล่อนจ้อนจนเห็นช้างน้อยแหกปากร้องไห้ชนิดไม่เกรงใจเจ้าของบ้านด้วยสายตาครุ่นคิด
ไอ้ไชยวัฒน์ น้องชายเฮงซวย บอกให้เขาเข้าใจว่ามันเลี้ยงเด็กไม่เป็น แล้วมันไม่เห็นใจเขาบ้างเหรอไง เขาเป็นหนุ่มโสดยังไม่มีแฟน อยู่บ้านคนเดียว แล้วจะเลี้ยงเด็กได้ยังไง!!
“แงๆๆกระซิกๆๆ”
ธัศไนยกัดฟันกรอด รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก แต่พอเห็นหัวน้อยๆพอๆกับกำปั้นของเขาและตัวเล็กๆบอบบางนั่นแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ ร่างสูงจึงก้มลงคว้าเด็กมาอุ้ม
แต่ยิ่งเขาอุ้ม เจ้าเด็กน้อยก็ยิ่งร้องไห้จนหน้าบิดหน้าเบี้ยวแถมมือเล็กๆยังจับหน้าเขาบีบ ทุบปั่กๆอีกต่างหาก
“อยู่นิ่งๆนะไอ้เม” ธัศไนยกระซิบขู่เด็กเสียงเครียด แต่เมธากรยังไม่ประสีประสาจึงไม่รับรู้ว่ากำลังโดนลุงขู่ เพราะมันร้องไห้หนักมากขึ้นกว่าเดิมจนแก้วหูของชายหนุ่มลั่นเปรี๊ยะ
“จุ๊ๆเงียบๆ” ทำท่าจุปาก พร้อมก้มลงคลึงเคล้าใบหน้าเข้มๆของตนที่แก้มนุ่มหวังหยอกเอินให้หลานชายอารมณ์ดีขึ้นมา แต่เปล่าเลย…นอกจากจะไม่หยุดร้องไห้แล้วเมธากรยังดิ้นพราดๆพร้อมขยุ้มจับหนวดเคราดกหนาของเขาเขย่าอย่างแรงจนชายหนุ่มหน้าชาวูบด้วยความเจ็บ
“ไม่ชอบหนวดของลุงเหรอไง ลุงว่ามันจั๊กจี้ดีออกนะ” ธัศไนยบ่นพึม แต่พอจะรู้ว่าหลานคงเจ็บที่หนวดเขาไปทิ่มตำแก้มใส แต่ถึงกระนั้นความวิตกก็ยังไม่จางหายเหลือบตามองนาฬิกากี่รอบๆก็ต้องถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
แต่เสียงพ่นลมออกทางจมูกอย่างแรงของเขาก็ยังถูกกลบด้วยเสียงแผดลั่นของ หนูน้อย
แล้วคืนนี้เขาจะได้นอนมั้ยเนี่ย!!
รุ่งเช้าวันใหม่
บรรยากาศวันนี้ดูแจ่มใสกว่าทุกวัน ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าแซมปุยเมฆสีขาว แสงแดดอ่อนๆสาดส่องลงมายังพื้นดิน ส่งผลให้ดอกไม้หลายชนิดเริ่มชูช่อเบ่งบานรับแสงตะวัน
ร้านเล็กๆร้านหนึ่งทาสีชมพูหวานแหววตั้งอยู่ในย่านชุมชน มีป้ายชื่อร้านแขวนไว้อย่างเห็นได้ชัดตรงประตูกรุกระจก โมบายอันหนึ่งถูกแขวนไว้หน้าร้านกระทบกันเบาๆยามต้องสายลมจนเกิดเป็นเสียงใสกังวานเคล้าคลอกับกลิ่นหอมหวานของมวลบุปผาหลากหลายชนิดที่ฟุ้งกระจายไปทั่วร้าน
ประภาพิณสาวหน้าหวานซึ่งสวมชุดเสื้อกับกระโปรงติดกันสีเหลืองอ่อนใส่รองเท้าที่มีสายมัดไขว้ๆกันบนหลังเท้าอย่างน่ารักยืนมองดูช่อกุหลาบช่อใหญ่สีส้มแซมด้วยฟอร์เกตมีนอต แล้วจัดด้วยกระดาษสาและโบว์สีชมพูสวยที่ถูกวางไว้บนโต๊ะรอลูกค้าที่นัดสั่งไว้มารับ
หล่อนยืนมองอยู่พักใหญ่ราวจะหาข้อตำหนิว่าผลงานที่หล่อนตั้งใจทำนั้นมีข้อบกพร่องตรงไหนหรือเปล่า
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงโมบายหน้าประตูร้านดังขึ้น ทำให้เธอต้องรีบหันไปอย่างรวดเร็วพร้อมทักทายเสียงใสตามสไตล์สาวหวานว่า
“สวัสดีค่า ร้าน beautiful flower ยินดีต้อนรับค่ะ”
“ผมเองครับ” พอได้ยินเสียงคุ้นๆ ประภาพิณจึงเงยหน้าขึ้นทันทีแล้วใบหน้าระรื่นเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นนางยักษ์ขมูขี
“มาทำไมคะ” เธอถามห้วนๆแต่ยังอุตส่าห์ลงท้ายประโยคอย่างไพเราะเพราะพริ้ง