บทที่ 4 เสน่ห์รักข้ามศตวรรษ...ห้องเครื่องเสวยเก่าแก่...
ก่อนถึงวันแข่งขันรอบตัดสินทางเจ้าหน้าที่ตามผู้เข้าแข่งขันมารวมตัวกันที่ชั้นล็อบบี้ แล้วแจ้งว่ามีโปรแกรมพิเศษที่เจ้าของโรงแรมผู้เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ร่วมตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ อนุญาตให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนได้เข้าเยี่ยมชมห้องเครื่องเสวยเก่าแก่ของพระราชวังในพระตำหนักหนึ่ง สร้างความตื่นเต้นแก่ทุกคนเป็นอย่างมากที่มีโอกาสได้เห็นห้องเครื่องเสวยอายุนับร้อยปี โดยเฉพาะวัสสิกาที่มีภาพหนึ่งวูบเข้ามาในจิตสำนึก
ทุกคนลงจากรถตู้ที่วิ่งมาตามถนนกว้างในอาณาเขต พระราชวังหลวงหน้าตึกทาสีเหลืองนวล แล้วเดินตามผู้นำทางลัด เลาะถนนสายเล็กผ่านสวนหรืออุทยานตัดสนามหญ้าที่มีแผ่นอิฐ รูปแปดเหลี่ยมปูเป็นระยะตรงมายังอาคารสองชั้นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีปล่องไฟสองฟาก ด้านหน้าอาคารมีต้นชมพู่แก้มแหม่ผลสีแดงอมชมพูดกพราวสองต้นอันเป็นผลให้วัสสิกายืนจ้องมองตาไม่กะพริบกับความทรงจำวิบวับอยู่ในหัวว่าเคยเห็นมาก่อนหรือเปล่า
“แกมองอะไร ไม่เคยเห็นชมพู่แก้มแหม่มหรือ” มณีรัตน์สะกิดเพื่อนให้เดินตามผู้นำทางกำลังพาเที่ยวชมภายนอกอาคารที่แบ่งเป็นห้องๆ เก็บภาชนะ เก็บเครื่องเทศ เก็บเครื่องปรุง เก็บแป้ง และอื่นๆอีกหลายห้องแยกกันเป็นสัดส่วน
“ดูคุ้นๆชอบกล” บุรินทร์พูดขึ้นมา
“นั่นสิ คุ้นตาจัง” วัสสิกาเห็นด้วย
“เฮ้...นี่ในพระราชวังนะ แล้วครัวนี้ก็ปิดมานมนานแล้วแกสองคนจะคุ้นได้ไง ไปเหอะ พวกเขาเข้าข้างในไปกันหมดแล้ว” มณีรัตน์ดันหลังเพื่อนทั้งสองออกหน้าเข้ามาในตัวอาคาร
เข้ามาภายในวัสสิกายิ่งรู้สึกคุ้นตามากขึ้น เมื่อเห็นผนังสามด้านมีหน้าต่างเปิดโล่งให้อากาศถ่ายเทและประตูขนาดใหญ่สองบาน สองฟากห้องมีอุปกรณ์การใช้งานครัวทั้งเหมือนและต่างกันหลายอย่าง ผู้นำเที่ยวชมเล่าว่าสมัยนั้นห้องเครื่องเสวยมีสองแบบ เพราะมีหัวหน้าแม่ครัวสองคน ฟากทิศใต้เป็นครัวทำอาหารพื้นเมืองตำรับเก่าของอินเดีย ส่วนฟากทิศเหนือเป็นครัวทำอาหารแบบใหม่จากเตาอบแบบฝรั่งและตู้เก็บความเย็น แม้ตอนหลังห้องเครื่องเสวยจะมีแม่ครัวดูแลเพียงคนเดียวก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบครัว เพราะต้องทำอาหารสองแบบขึ้นโต๊ะเสวยเหมือนเดิม
ในพระราชวังทุกตำหนักจะมีห้องเครื่องเสวยประจำตำหนักไม่ปะปนกัน เพราะต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของเครื่องเสวย ห้องเครื่องเสวยนี้เป็นของตำหนักมณีจันทราฯที่พำนักของพระธิดาสามพระองค์ของมหาราชามหารานีและต้องจัดเครื่องเสวยขึ้นถวายพระโอรสองค์รัชทายาทของมหาราชามหารานีที่ตำหนักอรุณรัศมีฯด้วย และมีเรื่องเล่าขานกันว่าพระโอรสโปรดปรานขนมฝรั่งและอาหารแบบใหม่ๆ
“ครัวนี้ปิดไปแล้ว สองตำหนักนั้นเสวยอาหารจากที่ไหนล่ะคะ” วัสสิกาถามขึ้น
“ปัจจุบันมีห้องเครื่องแบบทันสมัยในพระตำหนักของตัวเองหมดแล้ว และนี่คือเตาอบอายุมากกว่าร้อยปีที่สมบูรณ์แบบที่สุด” ผู้นำทางหยุดอยู่หน้าวัตถุสี่เหลี่ยมคล้ายตู้เหล็ก
ผู้เข้าร่วมแข่งขันหลายคนตื่นเต้นกรี๊ดกร๊าดกับเตาอบอายุกว่าร้อยปีที่มีหลายคนสนใจถึงการใช้งานที่ผู้นำเที่ยวชมไม่อาจตอบคำถามได้ แต่วัสสิกากลับบอกเล่าถึงการใช้งานคล่องปากราวกับเคยใช้บุรินทร์กับมณีรัตน์มองตากันด้วยความแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นวัสสิกาใช้งานเตาอบแบบนี้
“แกรู้วิธีใช้ได้ไง ที่บ้านหรือที่สถาบันก็ไม่เห็นมีเตาอบรุ่นนี้ ใช้” มณีรัตน์กระซิบถามเมื่อเดินตามวัสสิกาออกมาประตูด้านหลังที่ยังมีเค้าโครงของแปลงปลูกผักในที่ดินผืนกว้าง
“ไม่รู้สิ ฉันก็พูดไปตามที่รู้เท่านั้นละ” วัสสิกายังงงตัวเองที่ รู้สึกเหมือนเคยใช้มาบ่อยครั้ง
“จำไม่ได้หรือว่าพวกเราเคยศึกษาเรื่องเตาอบรุ่นเก่ารุ่นใหม่กันมาแล้ว ฉันก็คุ้นอยู่นะ วัสสิกาคงจำมาจากที่เรียนนั่น แหละ” บุรินทร์คุ้นตาอยู่เหมือนกัน แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเตาอบรุ่นนี้จากตำราเล่มไหน
“ทำไมฉันไม่มีความจำอะไรแบบนี้อยู่ในสมองเลยล่ะ” มณีรัตน์ว่า สมองโปงโล่งไม่มีความทรงจำใดในสถานที่แห่งนี้ ต่างจากวัสสิกากับบุรินทร์ที่รู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่นี้อย่างน่าแปลกประหลาด
ผู้นำเที่ยวชมพาทุกคนขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารและ บรรยายให้ฟังว่าเคยเป็นที่พำนักของแม่ครัวและพนักงานในห้อง เครื่องเสวย ส่วนห้องเครื่องเสวยของพระที่นั่งหรือพระตำหนัก สำคัญอีกสองหลัง คือ พระที่นั่งอาทิตยมาศฯกับพระตำหนักสุริยันฯ ได้ถูกทุบทิ้งเพื่อปรับพื้นที่เป็นสนามหญ้าหรือสวนดอกไม้ เพื่อทัศนียภาพอันสวยงามด้านหลังพระที่นั่งและพระตำหนักที่ ปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสิ่งของสูงค่าของมหาราชา มหารานีทุกรัชสมัยและข้าวของเครื่องใช้โบราณอันทรงคุณค่าที่หาดูยากในยุคสมัยนี้ โดยทิ้งท้ายว่ามหาราชาองค์ปัจจุบันและครอบครัวจะเปิดพิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่งให้บุคคลภายนอกเข้าชมในอีกสองเดือนข้างหน้า