บทที่ 3 เสน่ห์รักข้ามศตวรรษ...ความฝันแปลกประหลาด...
โรงแรมชัยปุระ ฮาวา รอยัล พาวิลเลี่ยน เป็นหนึ่งในพระตำหนักสวยหรูของพระราชวังหลวงที่เพิ่งเปิดทำการมาสองปี ข่าวว่าในทีแรกพระตำหนักนี้เคยเปิดรับนักท่องเที่ยวให้เข้าชมภายนอกเพียงอย่างเดียว ต่อมาผู้มีสิทธิ์ครอบครองเห็นว่ากาลเวลาทำให้พระตำหนักสวยงามแปลกตาหาดูยากทรุดโทรมลงและมีห้องจำนวนมากถูกทิ้งร้างอย่างไร้ประโยชน์จึงทำการบูรณะซ่อมแซมเปิดเป็นโรงแรมให้ผู้คนเข้าพักเพื่อการดูแลรักษาที่ดีกว่า จะยกเว้นก็แต่ห้องส่วนพระองค์ที่พระราชวงค์ชั้นสูงเคยครอบครอง
วัสสิกากับมณีรัตน์แยกกับบุรินทร์เข้าห้องพักบนชั้นห้าที่ความจริงที่พำนักของผู้เข้าประกวดสุดยอดฟีมือเชฟอาเซียนทั้งสิบคนพักร่วมกันห้องละสองคนอยู่ฟากหนึ่งของชั้นสี่ แต่ห้องที่วัสสิกากับมณีรัตน์จะเข้าพักเกิดมีปัญหาเรื่องท่อนํ้าใช้ และห้องในฟากตรงข้ามก็มีแขกเข้าพักเต็มหมด วัสสิกากับมณีรัตน์จึงต้องแยกขึ้นมาพักบนชั้นห้าที่รับเฉพาะแขกระดับวีไอพีของโรงแรมที่สวยงามกว่าห้องในชั้นถัดลงไป
การแข่งขันมีสองรอบ คือ รอบรอง เพื่อคัดให้ผู้แข่งเหลือ สามคนในรอบตัดสิน ที่จัดในห้องหนึ่งบนชั้นสองของโรงแรม โดยทุกคนจะได้พักผ่อนหนึ่งวันก่อนเริ่มการประชุมสัมมนาเพื่อเตรียมตัวจากนั้นก็จะได้ผ่อนคลาย(รีแร็กซ์-Relax)ตามอัธยาศัยอีกสอง วันก่อนเริ่มต้นการแข่งขันกันในปลายสัปดาห์วัสสิกากับผู้ช่วยที่เป็นเพื่อนสนิทจึงนัดออกเที่ยวชมสถานที่สำคัญของเมืองชัยปุระ โดยบุรินทร์เสนอให้จองห้องเพื่อเข้าพักต่ออีกสองวันหลังเสร็จงานประกวดเพราะต้องการอยู่เที่ยวชมส่วนที่เปิดรับนักท่องเที่ยวในอาณาเขตพระราชวังหลวงของเมืองชัยปุระอย่างไม่ต้องรีบร้อน
ในคืนที่สองของการเข้าพัก ณ โรงแรมชัยปุระ ฮาวา รอยัล พาวิลเลี่ยน วัสสิกาได้ฝันถึงเรื่องประหลาดคล้ายเดิมอีก คราวนี้ในความฝันวัสสิกามีคู่กรณีเป็นผู้สูงศักดิ์ร่างสูงสง่าหน้าตาคมสันหล่อถึงชั้นนายแบบหรือพระเอกหนังอินเดีย ในความฝันนั้นเขากำลังเรียกหาเธอ
“วัสสิกา วัสสิกา ที่รัก อยู่ไหน...”
ในความฝันวัสสิกากำลังนอนหลับอยู่บนเตียงสี่เสาหลัง ใหญ่ติดม่านสีชมพูปักดิ้นทองเป็นรูปดอกบัวหลวงรายรอบเตียง มีม่านลูกไม้สีขาวปิดคลุมทั้งสี่ด้านมองผ่านออกไปเห็นภายนอกเป็นห้องกว้างใหญ่ทาสีชมพูพาสเทลวาดลวดลายเป็นดอกบัวสี ทอง นอกห้องเป็นสวนดอกไม้กว้างใหญ่ มีสระน้ำทันสมัยที่รอบสระจัดวางกระถางใบใหญ่ปลูกดอกบัวหลวงชูช่อไสว ถ้าห้องใน ความฝันเป็นห้องพักของโรงแรมแห่งนี้ คงจัดอยู่ในประเภทห้องสูทเดอร์ลุกซ์(Suit Deluxe)เพราะพื้นที่ในห้องนอนและหน้า ห้องนอนมีเนื้อที่กว้างขวาง ด้านหนึ่งมีบาร์เตรียมเครื่องดื่มขนาด เล็กที่มุมนั่งกินอาหาร อีกด้านหนึ่งเป็นมุมพักผ่อนที่มีเก้าอี้นอน และโซฟาตัวยาวให้นอนนั่งมองทัศนียภาพสวนสวยได้เต็มตา
วัสสิกาสะดุ้งตื่นจากการขานรับการเรียกชื่อของตนเอง สิ่งแรกที่ทำคือคว้าโทรศัพทัมือถือมาดูเวลาเจ็ดโมงเข้าไม่ใช่เวลาปกติที่วัสสิกาจะตื่นเพราะไม่เคยตื่นนอนเกินหกโมงเช้า วัสสิกาเรียกหามณีรัตน์เพื่อนสาวที่พักห้องเดียวกัน แต่ไม่มีเสียงขานรับและเจอโน้ตเขียนแปะหน้าห้องน้ำว่าต้องลงไปตรวจเช็กข้าวของเครื่องใช้ให้เรียบร้อยก่อน
“เรามัวแต่นอนฝันบ้าอะไรก็ไม่รู้” วัสสิกาล้างหน้าอาบน้ำ แล้วเร่งรีบแต่งตัวลงมายังห้องแข่งขันเพื่อมาช่วยมณีรัตน์กับ บุรินทร์เช็กความพร้อมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เพราะบ่ายวันนี้ผู้แข่งขันทุกคนต้องทำอาหารอินเดีย 5 อย่าง คือ...แป้งจาปาตี (Chapati) แป้งนาน(Naan) กินกับดาลหรือแกงถั่ว แกงแพะ ไก่แทนดูรี(Tandoori Chicken)กินกับซอสสามอย่าง เช่น ซอส มะขามมัสซาลา ซอสมิ้นต์มัสซาลา ซอสโยเกิร์ตมัสซาลา รสจัดจ้าน และสลัดแตงกวา ส่วนอาหารหวานเป็นบาลูชาฮี(Balushahi)กับเครื่องดื่มชานม มัสซาลา-ไจ(Masala-chi)ที่วัสสิกาดัดแปลงมาใช้น้ำนมถั่วเหลืองผสมมอลต์สกัดจากข้าวบาร์เลย์ที่ล้วนเป็นเมนูอาหารที่ดัดแปลงมาจากตำรับดั้งเดิมของอินเดียและชัยปุระให้กรรมการกิตติมศักดิ์ที่มีทั้งผู้แทนจากพระราชวังหลวงมหาราชา นักการเมืองนักธุรกิจและนักแสดงได้ชิมก่อนวันแข่งขันจริง
ส่วนวันแข่งขันทางเจ้าหน้าที่กองงานจากสมาคมอาหารเพื่อสุขภาพแห่งอาเซียนจะจัดวัตถุดิบให้ผู้แข่งขันทั้งสิบคนเหมือนกันหมดในรอบรองทุกทีมจะต้องออกแบบอาหารตามความถนัดทั้งคาวหวานและเครื่องดื่มโดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในประเทศอินเดีย ทีมของวัสสิกาเลือกทำอาหารที่ผสมผสานทางวัฒนธรรมอินเดียกับไทยเพราะมีหลายสิ่งคล้ายคลึงกันจากการใช้เครื่องเทศก่อนเดินทางนานนับเดือนวัสสิกาคิดเมนูอาหารใหม่ซักซ้อมกับเพื่อนทั้งสองมาแล้ว จึงไม่ตื่นเต้นหรือเครียดเกินไปกับการประกวดครั้งนี้