บทที่ 2 เสน่ห์รักข้ามศตวรรษ...โรงแรมชัยปุระสถานที่จัดงานประกวด...
การเดินทางครั้งนี้ วัสสิกามีผู้ช่วยเชฟเป็นเพื่อนสนิท ติดตามไปสองคน คือ มณีรัตน์กับบุรินทร์โดยทั้งสองเป็นนักเรียนกับเพื่อนเรียนการทำอาหารระดับเชฟรุ่นเดียวกัน และมีเป้าหมายว่าจะเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมอาหารของกลุ่มประเทศอาเซียนให้ครบทั้งสิบประเทศ และครั้งนี้ก็เป็นโอกาสดีที่ทั้งสองได้ติดตามมาเป็นผู้ช่วยการประกวดสุดยอดฝีมือเชฟอาเซียนของวัสสิกา
“โห...โรงแรมชัยปุระ สวยยิ่งกว่าคำลํ่าลือออีกนะ แกสอง คนรู้ไหมว่าหน้าต่างทั้งหมดมีกี่บาน” มณีรัตน์หันมาถามเพื่อนทั้ง สองที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังและนับจำนวนหน้าต่างอยู่ในใจ
“953 บาน” บุรินทร์ตอบฉาดฉาน ยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อนสาวทั้งสองเป็นเชิงถามว่า...เท่ห์ไหม...แต่ที่ตอบได้รวดเร็วเพราะเขาศึกษาประวัติหมู่พระตำหนักทุกหลังในอาณาเขตพระราชวังหลวงและโรงแรมสวยหรูแห่งนี้มาแล้ว
“เอ๊ะ! ทำไม่นับเร็วนักล่ะ ฉันนับได้ไม่ทันถึงครึ่งร้อยเลย” มณีรัตน์มองเพื่อนหนุ่มอย่างทึ่งจัด
“ยายเฟอะ ขืนมัวยืนนับอย่างหล่อนคงเป็นวันเป็นคืน กว่าจะนับได้ครบ แล้วหล่อนไม่ได้ศึกษาหาความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโรงแรมที่จะมาพักบ้างเลยหรือ” บุรินทร์ย้อนถาม
“ไม่...” มณีรัตน์ปฏิเสธเสียงยาน “จะรู้มากไปทำไม่ แค่รู้ ว่าโรงแรมอะไร สภาพห้องดีระดับไหน ราคาเท่าไร ปลอดภัยหรือ เปล่าก็พอแล้ว” เหตุผลเดียวที่มณีรัตน์ไม่อยากรู้ประวัติโรงแรม ใดๆที่จะเข้าพักเพราะกลัวจะรู้เรื่องผีๆสางๆที่ตัวเองกลัวสุดชีวิต มากกว่าอย่างอื่น
“ก็นี่แหละ หล่อนถึงขาดฉันกับวัสสิกาไม่ได้ เราสองคน ต้องเป็นแผนที่กับโบว์ชัวร์ติดตัวหล่อนตอนเดินทางไปพัก ต่างประเทศตลอดๆ และฉันก็คิดว่าใครได้ผู้หญิงอย่างหล่อนเป็น แฟนหรือเป็นเมียละซวยฉิบ” บุรินทร์ทำปากเบ้
“รวยสิไม่ว่า ทายาทสาวคนเดียวของร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ ตั้งหลายสาขาชื่อดังระดับจังหวัดนะยะ เงินหมุนเวียนเดือนละ เป็นแสนใครไม่เอาก็โง่แล้วแก” มณีรัตน์คุยโอ่ เพราะทางบ้านทำ ร้านอาหารขนาดใหญ่ขายดิบขายดีเป็นที่หนึ่งจนต้องเปิดสาขา หลายจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคใต้
“เออ...ฉันคนหนึ่งละที่ยอมโง่ยายแม่มณียุคศตวรรษที่21” บุรินทร์ว่าแล้วก็หัวเราะ เขาชอบเรียกมณีรัตน์ว่าแม่มณี เพราะเพื่อนสาวมีหน้าตาคล้ายแม่มณีนางเอกรุ่นเก่าจันทร์จิราจูแจ้งในภาพยนตร์ปี พ.ศ.2533 จากนิยายของทมยันตีนักเขียนศิลปินแห่งชาติที่เขาชื่นชอบมากถึงกับเป็นแฟนคลับตามข่าวจน รู้ว่านิยายเรื่องนี้มีการสร้างเป็นภาพยนตร์มาก่อนหลายปีและนำมาสร้างเป็นละครโด่งดังทางทีวีถึงสองครั้งสองครา
“ถึงแกจะฉลาดเกินศรีปราชญ์ก็หมดสิทธิ์ย่ะ ฉันไม่รับ พิจารณาเพศลักปิดลักเปิดอย่างแก” มณีรัตน์โต้กลับ
“เฮ้ย...ฉันเป็นผู้ชายเต็มร้อยนะหล่อน และฉันก็จอง ตำแหน่งแฟนวัสสิกาเป็นคนแรกด้วย” บุรินทร์เถียง แสร้งทำ ตาหวานใส่เพื่อนสาวที่เขาอ้าง
“วัสสิการับจองแกหรือ เห็นเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงมาจะเป็นสิบปีแล้วมั้ง” มณีรัตน์แกล้งว่า
ในกลุ่มเพื่อนหญิงชายสมัยเรียนมัธยมต้นบุรินทร์จะเกาะแจอยู่กับวัสสิกาที่เขาชื่นชมมากกว่าเพื่อนสาวคนใดๆ และมักจะอาสาทำสารพัดโดยเฉพาะเรื่องยกจานข้าวยกนํ้าดื่ม หรือถือกระเป๋าเรียนให้วัสสิกา เมื่อทั้งสามมีโอกาสไปเรียนต่อที่สถาบันทำอาหารในประเทศฝรั่งเศส บุรินทร์แสดงตัวเป็น สุภาพบุรุษคอยเทคแคร์ดูแลเพื่อนสาวทั้งสองทุกอย่าง แต่ไม่เคยแสดงชัดเจนว่ารักใคร่เสน่หาในตัวเพื่อนสาวแบบชายหนุ่ม
“เออ...มดแดงอย่างฉันนี่แหละ จะอยู่เฝ้ามะม่วงสวยพวง นี้ไปจนแก่ตาย” บุรินทร์หันมาทำตาหวานใส่เพื่อนสาวที่เขาชอบ กล่าวอ้างอีกครั้ง
“แกได้เฝ้าจนแก่ตายแน่ จริงไหมวัสสิกา” มณีรัตน์หันมา ถามเพื่อนสาวแล้วหัวเราะคิกคักกับความคิดของตนที่เห็นภาพบุรินทร์ยามแก่ผมขาวหมดหัว
“เธอสองคนจะยืนเถียงกันถึงเช้าหรือไง ดูสิ คนหยุดมอง กันใหญ่แล้วรีบเข้าข้างในกันเถอะ”
วัสสิกากำลังเพลินชมความงามของโรงแรมที่มีประวัติ มานานนับร้อยปี หันมาเห็นผู้คนที่เดินผ่านไปมาหยุดฟังการสนทนาของเพื่อนทั้งสองเป็นกลุ่มใหญ่ก็นึกอายรีบลากกระเป๋า ใบโตที่นำลงจากรถแท็กซี่เป็นใบสุดท้ายเดินนำเข้าประตูโรงแรม ที่ผู้แต่งกายด้วยเสื้อสูทประจำชาติสีแดงเปิดรอเชื้อเชิญ ก้าวแรกที่ย่างเท้าเข้ามาวัสสิกาสัมผัสถึงพลังบางอย่าง จนขนลุกกรูเกรียว เสี้ยววินาทีหนึ่งเธอเห็นภาพสถานที่เก่าแก่ แห่งนี้มีหญิงสาวสวยมากมายแต่งกายนุ่งห่มส่าหรีสีสดใสบ้างเดิน บ้างนั่ง บ้างนอน บ้างเต้นระบำรำฟ้อนตามจังหวะดนตรีที่มีเพียงเสียงกลองเสียงพิณและเสียงปี่ด้วยนาฏลีลา แปลกตาที่ผสมผสานระหว่างความสนุกสนานร่าเริงกับการยั่วยวนชวนเสน่หาในตัวนางรำที่มีเพียงผ้าน้อยชิ้นปิดกาย เมื่อภาพนั้นวับหายไปจึงทำให้วัสสิกานึกถึงประวัติความเป็นมาของโรงแรมแห่งนี้แห่งนี้