บท
ตั้งค่า

บทที่๘...ไม่เคยรู้ (๑)

บทที่๘...ไม่เคยรู้

ความมืดเข้ามาแทนที่แสงสว่าง พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าแทนที่ด้วยแสงจันทร์นวลที่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า หากแต่แสงแห่งจันทราก็ส่องไม่สว่างพอทำให้ต้องพึ่งไฟฟ้าจากหลอดยาวจึงทำให้บ้านไม้ที่ร่มรื่นแห่งนี้สว่างพอจะคลายความกลัวไปได้บ้าง แคร่ใต้ถุนมีบุคคลทั้งสี่นั่งล้อมวงรับประทานอาหารกันอยู่โดยผู้กุมบทสนทนาเป็นเจ้าของบ้าน

“เอ็งทำอาหารอร่อยดีนะนางหนู”ผัดผักบุ้งที่ร่างบางไปทำเป็นที่ชอบใจของคุณป้าจนอาหารอย่างอื่นแทบไม่พร่องลงเลย

“ขอบคุณจ้ะ”ยิ้มหวานอย่างที่ภราดรไม่ค่อยได้เห็นก่อนจะตักให้คุณป้าด้วยความเอาใจลืมสามีกำมะลอจนอีกฝ่ายที่นั่งข้างต้องกระแอม

“ผัวเอ็งอยากกินก็ตักให้เขาหน่อยสิ”คนแก่ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนเห็นก็บอกหญิงสาวที่เอ็นดูเหมือนลูกหลาน เปมิกาหันไปมองเขาหน้าเหวอไม่คิดว่าร่างสูงต้องการให้ตักอาหารให้เขาหรอก

“เอามาสิ”ไม่ได้ปฏิเสธอีกทั้งยังยื่นจานให้อีกด้วย เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้จะหักหน้าเขากลางวงกินข้าวก็ไม่ได้จึงตักผัดผักบุ้งให้คุณสามีสุดหล่อ

“ขอบใจ”ทั้งสองต่างนั่งทานอาหารเงียบๆ คุณป้ามองก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“พวกเอ็งพึ่งแต่งงานกันเหรอ ทำไมยังดูเขินอายกันอยู่เลย”ด้วยความสงสัยและไม่อยากเก็บไว้ให้คาใจเพราะเป็นคนตรงจึงเอ่ยไปอย่างนั้นทำเอาคุณลุงต้องสะกิดเมียด้วยเกรงใจทั้งสองคน

“ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ”ภราดรรีบโบกมือปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรครับ ตอบได้ ผมกับเมียพึ่งแต่งงานกันมาสามเดือนเลยอาจจะขัดเขินกันอยู่บ้าง”ได้รับคำตอบก็พอจะเข้าใจบ้าง

“อ๋อ ตอนแรกข้ากับไอ้แก่ก็เป็นเหมือนกัน สมัยก่อนก็ไม่ได้รักกันหรอกพ่อแม่เห็นว่ามันเอาการเอางานเลยให้แต่ง พออยู่ๆ กันไปก็รักกันเอง แต่สมัยนี้มาทำแบบพวกข้าไม่ได้ต้องให้ตัดสินใจเองไม่อย่างนั้นมีแต่จะหนีตามกันเท่านั้น ข้าโชคดีที่ได้ผัวดี เอ็งก็เหมือนกันนะนางหนู ผัวเอ็งดูรักเอ็งมาก โชคดีแล้ว”ที่เขาว่าคนแก่อาบน้ำร้อนมาก่อนรู้ทุกอย่างบางทีอาจจะไม่จริงก็ได้ สายตาของภราดรไม่ได้มีความรักให้เธอสักนิด

“ค่ะ”ไม่กล้าหันไปสบตาร่างสูงเลือกที่จะทานอาหารเงียบๆ

“แล้วเป็นคนที่ไหนล่ะ”ดูจากหน้าแล้วคงไม่ใช่คนแถวนี้แน่มีสง่าราศีราวกับลูกผู้ลากมากดีมีอันจะกิน

“กรุงเทพครับ”พยักหน้าเข้าใจก่อนตักต้มปลานิลให้ฝ่ายหญิงชิม คุณป้ามั่นใจในฝีมือตนเองด้วยมีแต่คนชมว่าอร่อยจนลูกๆ ขอร้องให้ทำขายแต่เพราะไม่ค่อยมีเวลาทั้งเก็บผักในสวนดูแลบ้านจึงต้องปล่อยให้เป็นเพียงแค่ความคิด

“ข้าว่าแล้วเชียวคงไม่ใช่คนแถวนี้ เมียเอ็งสวยนะไอ้หนุ่มไม่แปลกที่พวกนั้นมันอยากได้”โดนชมแบบนี้เปมิกาก็ไปไม่เป็นเหมือนกันนอกจากยิ้มรับ

“ครับ เมียผมสวย ใครเห็นก็ชอบทั้งนั้นแหละ”หากไม่นั่งกินข้าวอยู่ก็อยากจะโอบเอวบางเข้ามาชิดเหมือนกัน ไม่รู้ว่าความรู้สึกภาคภูมิใจนี้มาจากไหนทั้งที่เขากับเปมิกาก็ไม่ได้เป็นอะไรกันไปมากกว่าคู่นอน

“หลงเมียนะเรา”คุณป้าเอ่ยล้อก่อนหันไปพยักหน้ากับคุณตา การกินข้าวมื้อนั้นสร้างรอยยิ้มให้กับแขกผู้มาเยือน ร่างบางอาสาเอาจานไปล้างโดยมีภราดรเข้ามาช่วย อาจจะดูเก้งก้างไปบ้างเพราะเขาไม่เคยทำแต่ภรรยากำมะลอก็คอยสอนอย่างใจเย็น

“คุณแพ้น้ำยาล้างจานหรือเปล่า”เมื่อล้างเสร็จเห็นเขาเกามือก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“ไม่รู้ ฉันไม่เคยล้าง”มองดูแล้วอาจจะแพ้แต่ไม่มากเพียงแค่แดงเท่านั้นไม่ได้ลอกน่ากลัวจึงปล่อยให้เขาเกาไปส่วนตนเองก็เดินมาเก็บกวาดของที่เหลือ

“ข้ากับตาม่อนขึ้นนอนก่อนนะ ถ้าง่วงแล้วก็ขึ้นไปนอนล่ะ ส่วนไฟไม่ต้องปิดหรอกเปิดให้มันสว่าง”สั่งแขกทั้งสองเสร็จก็เดินขึ้นไปบนบ้านปล่อยให้สามีภรรยาอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ถ้าคุณง่วงก็ขึ้นไปนอนก่อนเลยนะ”ร่างสูงนั่งบนแคร่แล้วเกามือจนแดงไปหมด เงยหน้ามามองดาราสาวค่อยเอ่ยถาม

“แล้วเธอไม่ขึ้นไปนอนเหรอ”

“ฉันยังไม่ง่วง เชิญคุณตามสบายเลย”ว่าจบก็เดินออกไปนั่งที่แคร่นอกบ้านใต้ต้นมะขามที่แผ่กิ่งก้านออกมาร่มใหญ่ ยามค่ำคืนเช่นนี้โดยรอบมีเพียงต้นไม้ทำให้ได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องกันระงม ลมพัดโชยกลิ่นดินกลิ่นหญ้าทำให้รู้สึกสดชื่น ลมธรรมชาติเย็นสบายที่สุดแล้ว

“มานั่งเล่นทำไมตรงนี้เดี๋ยวยุงก็กัดหรอก”ไม่วายคนตัวสูงยังเดินตามมายืนอยู่ตรงหน้า ปกติเราแทบจะไม่ค่อยคุยกันเลยหากเสร็จกิจเรื่องบนเตียงก็แยกย้ายกันคงมีเพียงเธอเท่านั้นที่ความรู้สึกชัดเจน

“แล้วคุณมานั่งทำไม ไปนอนสิ”ไม่ได้รับคำตอบจากภราดรแต่เขาก็ตอบกลับด้วยการกระทำคือนั่งข้างเธอบนแคร่นั้น วันนี้เขาดูแปลกไปอาจจะเพราะปกติชายหนุ่มมักเซตผมตั้งตรงจนหน้าเหมือนคนโมโหตลอดเวลา แต่ปล่อยผมธรรมชาติกลับทำให้ร่างสูงดูอ่อนโยนขึ้นมาก ไม่น่าเชื่อว่าแค่เปลี่ยนทรงผมความรู้สึกก็เปลี่ยนด้วย

“ฉันอยากมองพระจันทร์”ว่าจบร่างสูงก็นอนลงบนแคร่โดนเอาแขนรองศีรษะตนเองไว้ อาจจะเพราะแคร่ใต้ต้นไม้เล็กกว่าใต้ถุนบ้านทำให้เขาไปนอนแล้วดูแคบไปถนัดตา

“อารมณ์ไหนของคุณ”ไม่คิดว่าภราดรจะมีอารมณ์สุนทรีขนาดมานั่งมองดาวได้ ดวงตาคมมองแผ่นหลังบางก่อนจะคว้าแขนเธอแล้วกระชากด้วยแรงที่มีจนร่างบางไม่ทันตั้งตัวเซมาซบอกเขา

“ทำอะไร”กดเสียงต่ำถามเพราะหากเสียงดังก็เกรงใจเจ้าของบ้านที่นอนหลับ

“ก็จะให้นอนลงดูพระจันทร์”ว่าเสียงอ่อนโยนกว่าปกติ สละแขนอีกข้างของตนให้เปมิกานอนทับซึ่งแม้ตอนแรกจะเกี่ยงงอนไม่ยอมทำตามแต่เมื่อเจอสายตาบังคับของเขาก็จำต้องนอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ชายอะไรเผด็จการชะมัดเลย

“เห็นดาวไหม”คืนนี้พระจันทร์ไม่ได้เต็มดวงมีเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นทำให้ดวงดาวส่องแสงประกายระยิบระยับบนท้องฟ้าแทน

“สวยจังเลย”นานมากแล้วที่ไม่ได้นอนดูดาวแบบนี้ ปกติเธอทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่มีเวลามาชื่นชมบรรยากาศตอนค่ำคืนหรอก พอได้มานอนดูดาวก็เผลอให้คิดถึงครั้งยังเป็นเด็กที่บิดามารดาชอบพานอนดูดาวแล้วเล่านิทานให้ฟัง

“คุณเคยได้ยินตำนานรักของดวงจันทร์หรือเปล่า”อยู่ดีๆ เปมิกาก็เอ่ยถามเขาขึ้น

“ตำนานอะไรของเธอ ฉันจะไปเคยได้ยินได้ยังไง”คนอย่างเขาคงไม่เคยฟังนิทานหรือตำนานปรัมปราหรอก ต่างจากเธอที่ชอบเพ้อฝันตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กว่าจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาหาทั้งที่ความจริงเป็นเธอเองที่เดินเข้าไปหาปีศาจร้ายโดยไม่กลัวว่าจะถูกทำร้ายจนต้องชอกช้ำเพียงไร

“จริงๆ แล้วโลกเรามีดวงจันทร์สองดวง ดวงหนึ่งเป็นหญิง อีกดวงเป็นผู้ชาย ดวงจันทร์ทั้งสองรักกันมาก ครองรักกันมายาวนาน”ดาราสาวเหมือนตกอยู่ในโลกแห่งนิทานจนอีกครั้งอดเอ่ยกระเซ้าไม่ได้

“แล้วก็จบบริบูรณ์”จะพูดเสียงนิ่งแต่ก็รับรู้ได้ถึงอารมณ์ขันของอีกฝ่าย

“ยังสิ นิทานอะไรของคุณจะจบเร็วขนาดนี้”หันไปว่าเขาแล้วกลับมามองท้องฟ้าอีกครั้ง

“จนกระทั่งวันหนึ่งที่ดวงจันทร์ไปพบกับพระอาทิตย์ เธอตกหลุมรักพระอาทิตย์อย่างถอนตัวไม่ขึ้นจึงไล่ตามเขาไปทุกที่ ทิ้งพระจันทร์ผู้ชายเอาไว้ท่ามกลางความมืดมิดแต่เพียงผู้เดียว”เสียงหวานเศร้าราวอินกับสิ่งที่ตนเองเล่าโดยไม่มีคำพูดเอ่ยขัด

“พระจันทร์ตามหาคนรักของตนเองไปทุกที่ เขาเฝ้าถามจากสิ่งรอบข้างแต่ก็ไม่พบหญิงที่ตนรักเลย จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจระเบิดตนเองแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพื่อตามหาดวงจันทร์ที่หายไป”จิ้งหรีดร้องดังระงมแต่ไม่ได้เข้าหูของทั้งสองเพราะต่างคนก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งจันทรา

“ฝ่ายดวงจันทร์ผู้หญิงที่ตามพระอาทิตย์ไปก็ได้รู้ว่าแม้พระอาทิตย์จะมีแสงที่เจิดจ้าแต่เขาก็ไม่ได้ส่องแสงให้เธอเพียงผู้เดียว และแสงของเขาก็ร้อนมากจนมาสามารถแผดเผาเธอได้อีกด้วย ในที่สุดดวงจันทร์จึงตัดสินใจกลับไปหาพระจันทร์คนรักของตน แต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะพระจันทร์หายไป เธอเฝ้าตามหาเขาอยู่นานจนไปถามพระสมุทรก็ได้คำตอบมาว่า เขาได้ระเบิดตัวเองกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ เพื่อตามหาเธอ หากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน วันไหนที่จันทร์เต็มดวงสวยสด วันนั้นจะไม่เห็นดวงดาวดวงเล็กดวงน้อยส่องแสงหรือหากวันใดที่เห็นดาวเปล่งประกายตามฟ้ามืด วันนั้นก็จะไม่พบดวงจันทร์เช่นกัน”ตำนานของดวงจันทร์จบลงพร้อมกับเสียงเงียบของทั้งสองคน

“เธอฟังนิทานเศร้าแบบนี้มาแต่เด็กเลยหรือไง”คราแรกที่ฟังก็คิดว่าตำนานคงจะจบด้วยการครองรักไปนิรันดร์แต่ใครจะรู้ว่าจุดจบของความรักก็คือความเสียสละของพระจันทร์ผู้ชาย

“ไม่หรอก ฉันพึ่งมาฟังตอนโต”เพื่อตอกย้ำตนเองว่าไม่ควรภักดีกับใครจนยอมได้แม้กระทั่งสละชีวิตตนเองเหมือนที่พระจันทร์ทำเพื่อตามหาคนรักของตน แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอทำมันยิ่งกว่าการระเบิดตัวเองของพระจันทร์เสียอีก เธอเอาตัวและหัวใจของตนเป็นเดิมพันกับรักครั้งนี้ที่ไม่ได้ความรักตอบกลับมา

“แล้วชีวิตเธอตอนเด็กเป็นยังไง”ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับจะชวนคุยซึ่งแตกต่างจากภราดรที่เธอรู้จัก

“ทำไมอยู่ดีๆ คุณถึงถามคะ”อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้

“ก็อยากรู้เลยถาม ถ้าฉันไม่อยากรู้จะถามไหม”ทั้งสองมองดวงดาวที่ส่องแสงประกายเต็มท้องฟ้าอย่างที่หาได้ยากในกรุงเทพมหานครเมืองแห่งแสงสีที่มีดวงไฟเป็นดวงดาว

“จริงๆ แล้วฉันเป็นลูกครึ่ง”ยอมตอบในที่สุด

“หน้าเธอไม่เหมือนลูกครึ่งเลยนะ”จะมองอย่างไรเธอก็ไม่ได้ออกไปทางฝรั่งหรือแขกแม้แต่น้อย

“ก็พ่อฉันเป็นคนลำปาง แม่ฉันเป็นคนเลย ฉันก็ต้องเป็นลูกครึ่งสิ”ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีอารมณ์ขันแบบนี้ด้วย ทั้งยังเป็นตลกหน้าตายที่ใบหน้ายังคงเรียบเฉยอีกจนภราดรอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ไม่ขำนะคุณ”หันไปมองเขาแล้วทำหน้ายู่ใส่

“ก็ฉันจะขำ มุกอะไรของเธอใครสอนเล่น”ไม่น่าเชื่อว่าการโดนไล่ล่าจนต้องมาอยู่ด้วยกันสองคนจะทำให้เห็นอีกมุมของกันและกันได้

“ฉันเห็นเขาเล่นกันเลยลองบ้าง แต่เรื่องพ่อเป็นคนเหนือน่ะเรื่องจริง”ก็ว่าทำไมผิวเธอถึงได้ขาวขนาดนี้ แถมยังส่องสว่างมากอีกด้วย

“แล้วทำไมเข้ามากรุงเทพฯได้”

“พ่อฉันเข้ามาทำงานในเมืองกรุงแม่ก็ตามมาด้วย จนพ่อฉันตายไปแม่ก็รับภาระเลี้ยงฉันกับพี่ชาย จนกระทั่งแม่มีสามีใหม่”เสียงหวานแผ่วลงเมื่อกล่าวถึงคนต้นเหตุให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นกับเธอ

“ตอนแรกเขาก็ดี ดีมากเอาการเอางานจนพักหลังเขาติดการพนัน ไม่นานแม่ก็เสียด้วยโรคร้ายตอนฉันอยู่มอสี่”อาจเพราะปลอบคนไม่เป็นเขาเลยเลือกจะเงียบแล้วฟังในสิ่งที่เธออยากระบายออกมามากกว่าจะพูดขัด

“พ่อเลี้ยงก็เริ่มเปลี่ยนไป เขาเอาของไปจำนอง ขายบ้านของครอบครัวฉัน จนฉันทนไม่ไหวเลยออกมาหางานทำปล่อยให้พี่ชายอยู่กับเขาสองคน”เล่าไปก็ย้อนนึกถึงอดีตก็อดเจ็บใจไม่ได้ คนชั่วอย่างไรก็ยังเป็นคนชั่วอยู่วันยังค่ำ

“แล้วทำไมครั้งนี้เขาถึงขายเธอ”ดวงตาลึกลับของหญิงสาวหลับลงด้วยความขมขื่น

“ฉันไม่รู้ มารู้ก็วันนี้ที่รอคุณมารับนั้นแหละ”ความเจ็บปวดในชีวิตเธอทำไมยังไม่สิ้นสุดเสียที ต้องเจอเรื่องร้ายอีกเท่าไหร่ถึงจะให้พบความสุขบ้าง ภราดรเอามือที่หนุนหัวตนเองออกก่อนจะตะแคงข้างแล้วกอดร่างบางเอาไว้แทน

“หนี้ทั้งหมดเท่าไหร่”คำถามนั้นเธอไม่อาจตอบได้เพราะตนเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าหนี้ที่อีกฝ่ายไปก่อมันเท่าไหร่รู้เพียงแค่มันเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

“ฉันเองก็ไม่รู้”ลำพังหากให้จ่ายเธอก็ทำได้เพียงแต่ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับคนแบบนั้นอีกแล้ว

“ถ้าฉันจ่ายให้เธอล่ะ”คำถามนั้นสร้างความตกใจให้เปมิกาจนต้องผละออกจากร่างสูงแล้วลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจทันที ก่อนที่เขาจะพูดออกมาได้คิดหรือเปล่า...มันคือความสงสัยที่อยากถามแต่จำต้องเงียบเอาไว้

“ทำไมไม่เชื่อหรือไง”ร่างสูงลุกขึ้นนั่งบ้างก่อนจะมองใบหน้าหวานยามตกใจซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

“เงินมันไม่ใช่น้อยๆ คุณจะบ้าหรือ”แม้ไม่รู้ยอดที่แท้จริงแต่เชื่อเถอะว่าเกินเจ็ดหลักแน่นอน ไม่อยากให้เขาเอาเงินมาละลายโดยไม่มีหลักประกันว่าจะได้คืนเลย

“แล้วคิดว่านักธุรกิจจะลงทุนโดยไม่มีกำไรตอบแทนเลยหรือไง”ใบหน้าคมมีแววเจ้าเล่ห์ก่อนจะขยับเข้าไปหาหญิงสาวโดยใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบจนต้องเอนหลังหนีเขาด้วยกลัวเจ้าของบ้านจะมาเห็น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel