บท
ตั้งค่า

๕.๑ อุ่นไอรักซาตาน

อุ่นไอรักซาตาน

รามาวตีรู้สึกตัวตื่นมาในตอนเช้าด้วยความสดชื่น อาการไข้ที่รุมเร้าอย่างหนักตั้งแต่เมื่อวานสร่างลงมากแล้ว ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้คนที่เฝ้าไข้หล่อนตลอดวันตลอดคืน คอยดูแลป้อนข้าวป้อนยาตรงเวลาและปฏิบัติตามที่หมอสั่ง จนอาการของหล่อนดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าตัวเองหายเกือบเป็นปกติแล้ว หญิงสาวจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและกำลังจะเปิดประตูออกไปข้างนอก แต่ประตูก็ถูกผลักเข้ามาก่อน

“กำลังจะไปไหน” ปฏิภาณเอ่ยถามขึ้น

“ลงไปรอคุณข้างล่างไงคะ เรจะได้ออกไปไร่พร้อมคุณเลย”

“ผมไม่อนุญาต” เสียงทุ้มเอ่ยเด็ดขาดทำให้คิ้วเรียวสวยต้องขมวดมุ่นเข้าหากัน และเงยหน้าขึ้นมองคนเผด็จการอย่างตัดพ้อ

“ทำไมล่ะคะ?”

“ยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอ ไม่อยากเห็นคนนอนป่วยอีก”

“ไม่อยากดูแลล่ะสิ” สาวน้อยบุ้ยปากใส่

“ก็คงงั้นมั้ง”

“เป็นภาระคุณมากใช่ไหมคะ” รามาวตีเสียงขึ้นจมูกด้วยความน้อยใจ คนบ้า...พูดออกมาได้ว่าไม่อยากดูแล จะโกหกหรือพูดจาถนอมน้ำใจหน่อยก็ไม่ได้

“เปล่า... แต่กลัวอดใจไม่ไหวแล้วปล้ำคนป่วยต่างหาก” ใบหน้าหล่อคมดูเรียบเฉยแต่สายตากลับกรุ้มกริ่มขึ้น

คำพูดนั้นทำเอาคนที่กำลังงอนถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะค้อนหน้าคว่ำวงใหญ่

“คนบ้า! คนหื่น!”

“ถ้าไม่อยากโดนปล้ำ วันนี้ก็อยู่พักผ่อนให้หายดีก่อน” เสียงทุ้มนุ่มนวลลง

รามาวตีเม้มริมฝีปากเรียวสวยเข้าหากัน มองใบหน้าคมคายที่ประดับด้วยดวงตาคมเข้ม ก็เห็นความจริงจังที่ฉายชัดในดวงตาของเขา จึงยังไม่กล้าดื้อดึงอีกต่อไป ด้วยรู้ดีว่าคู่หมั้นหนุ่มนั้นมุทะลุ โหด เถื่อนแค่ไหน

“ก็ได้ค่ะ” หล่อนรับคำเสียงอ่อยๆ

“กลับไปนอนได้แล้วเร” เขาสั่งซ้ำ ก่อนจะปิดประตูและล็อกห้องให้ด้วยตัวเอง...

รามาวตีหน้างอง้ำลงเล็กน้อยที่ถูกบังคับให้นอน เพราะเมื่อวานก็นอนมาทั้งวัน จึงไปค้นเอาหนังสือนวนิยายเล่มใหญ่ซึ่งหล่อนเก็บไว้ในกระเป๋าออกมาอ่านฆ่าเวลา

หนังสือเล่มนั้นถูกอ่านอย่างรวดเร็วและจบลงในช่วงเวลาสายๆ ร่างอรชรจึงลงมาชั้นล่างและเดินเลยเข้าไปในครัว เห็นแววกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าตู้เย็นจึงเอ่ยทักขึ้น

“ทำอะไรอยู่จ๊ะแวว”

แววเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นรามาวตีจึงยิ้มแป้น

“กำลังจะต้มข้าวต้มไปให้นายหญิงค่ะ”

“อี๋... ไม่เอาหรอกเมื่อวานก็กินทั้งวัน” หญิงสาวทำหน้าเหมือนกินยารุ “แววไม่ต้องทำหรอกจ้ะ ฉันจะทำอาหารกินเอง”

“นายหญิงทำอาหารเป็นด้วยเหรอคะ เก่งจังค่ะ” แววชมจากใจจริงเพราะไม่คิดว่าหญิงสาวผู้มีหน้าตาหมดจดผิวพรรณผุดผ่อง มีฐานะเป็นถึงลูกสาวมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยมหาศาลจะรู้จักหยิบจับงานในครัวและทำอาหารเป็น

“เป็นสิจ๊ะ... แววอยากกินอะไรบอกได้นะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง หรือแม้แต่อาหารอีสานรสแซบๆ ฉันก็ทำได้นะ”

“แล้วนายหญิงเคยทำให้นายทานหรือยังคะ”

รามาวตีส่ายหน้า “ยังเลยจ้ะแวว ยังไม่มีโอกาส”

“ถ้าอย่างนั้นวันหลังนายหญิงก็ทำสิคะ เป็นการเซอร์ไพรส์นาย แววว่านายต้องดีใจมากแน่ๆ ค่ะ” แววเสนอความคิด

“เขาจะดีใจจริงเหรอแวว ฉันกลัวเขาจะกินไม่ลงซะมากกว่า”

“ต้องดีใจสิคะนายหญิง คู่หมั้นทำอาหารให้กินทั้งที ใครที่ไหนจะไม่ดีใจ”

ใบหน้าสวยหวานระบายยิ้ม “ก็ได้จ้ะ งั้นวันหลังฉันจะลองทำดู”

“แล้วนี่นายหญิงจะทำอะไรทานคะ?”

“หายไข้ใหม่ๆ แบบนี้ ฉันอยากจะซดน้ำต้มยำร้อนๆ จ้ะแวว”

“เมื่อวานตอนที่นายหญิงไม่สบาย นายเป็นห่วงมากเลยนะคะ” แววเล่าเจื้อยแจ้วขณะช่วยหญิงสาวลำเลียงผักออกจากตู้เย็น

“เหรอจ๊ะ”

“จริงๆ นะคะ... นายถึงขนาดเช็ดตัวให้นายหญิงด้วยตัวเอง แถมยังลงมาต้มข้าวต้มเองอีกต่างหาก แววยังไม่เคยเห็นนายอ่อนโยนกับใครแบบนี้มาก่อน อย่างนี้ล่ะค่ะรักมากก็เลยห่วงมาก”

คำบอกเล่าของแววมีผลทำให้จุดสีแดงกระจายไปทั่วพวงแก้มเนียนใส ริมฝีปากเรียวสวยเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วครู่ต่อมาก็ต้องแอบถอนหายใจ...

‘ถ้าเขารักหล่อนอย่างที่แววว่าก็ดีสินะ หล่อนจะได้รีบสลัดเขาทิ้งแล้วขอถอนหมั้น กลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองเช่นเดิม’

ความคิดนั้นทำให้สาวน้อยรู้สึกหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกลึกๆ มันร่ำร่ำว่าไม่อยากจะจากเขาไปไหนเสียแล้ว

อีกยี่สิบนาทีต่อมาต้มยำหม้อเล็กๆ ก็เดือดปุดๆ รามาวตีปิดแก๊ส แล้วใส่พริกขี้หนูสดโขลกหยาบๆ ลงไปตามด้วยน้ำมะนาวสด ส่งกลิ่นหอมฉุยจนแววอดกลืนน้ำลายไม่ได้

“น่าอร่อยจังเลยนะคะนายหญิง”

“ฉันทำเผื่อแววด้วยนะ เดี๋ยวแววมาตักแบ่งไปทานได้เลย”

“ขอบคุณค่ะนายหญิง ทำไมตอนแววทำมันไม่หอมแบบนี้ก็ไม่รู้นะคะ” แววบ่นพึมพำอย่างอดเปรียบเทียบกับฝีมือตัวเองไม่ได้

“เคล็ดลับการทำต้มยำให้อร่อยมีอยู่นิดเดียวเองจ้ะ คือต้องใส่พริกขี้หนูโขลกกับน้ำมะนาวหลังจากปิดไฟแล้ว มันจะทำให้ต้มยำมีกลิ่นหอมของพริกขี้หนูกับมะนาว”

“อ๋อ... อย่างนี้นี่เอง” แววพยักหน้าพลางจดจำเคล็ดลับนั้นเอาไว้ เผื่อทำต้มยำคราวหน้าจะได้นำไปใช้บ้าง

จากนั้นชามต้มยำกับจานไข่เจียวพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ก็ถูกนำไปวางที่โต๊ะในห้องอาหาร...

ร่างอรชรนั่งลงบนเก้าอี้และตักข้าวใส่ปากทีละคำจนอิ่ม แววจึงเข้ามาช่วยเก็บจานไปล้าง

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ รามาวตีตั้งใจจะออกไปเดินเล่นนอกบ้าน แต่ตอนนั้นแดดแรงมากจึงเปลี่ยนใจไปที่ห้องนั่งเล่นแทน สาวน้อยเลือกหนังสือในชั้นมาเล่มหนึ่ง ก่อนจะไปทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ กำลังจะเปิดหนังสืออ่านแต่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด...

เบอร์ที่แสดงหน้าจอเป็นเบอร์แปลก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัยว่าเป็นเบอร์ใคร แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกดรับสาย

“สวัสดีค่ะ”

“เสียงยังหวานเหมือนเดิมนะคะคุณรามาวตี” ปลายสายแซวกลับมาอย่างคนคุ้นเคย

“ยัยปอ...” หญิงสาวอุทานอย่างดีใจ “นี่ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม”

‘ปอ’ หรือ พันธิตรา เป็นเพื่อนสนิทของรามาวตีสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งสองเรียนคณะเดียวกันคือคณะบริหารการจัดการ ภาคภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เหตุผลหลักของทั้งคู่ที่เลือกเรียนคณะนี้เป็นเหตุผลเดียวกัน นั่นคือต่างก็เป็นทายาทของครอบครัวนักธุรกิจ เมื่อเรียนจบ พันธิตราก็เดินทางไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่ต่างประเทศทันที ส่วนรามาวตีนั้นขอพักสมองก่อน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันเลย นอกจากคุยกันผ่านสื่อออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กเป็นครั้งคราวเท่านั้น

“ไม่ได้ฝาด นี่ตัวจริงเสียงจริงของพันธิตราย่ะ”

“ดีใจมากเลยที่ได้ยินเสียงเธอ” รามาวตียังคงอยู่ในอาการตื่นเต้น “ทำไมเปลี่ยนเบอร์ใหม่เสียล่ะ”

“ก็แม่น่ะสิ เอาเบอร์ไปดูกับซินแส แล้วซินแสบอกให้เปลี่ยน บอกว่าเบอร์เก่าไม่เป็นสิริมงคล มีแววขึ้นคาน” พันธิตราพูดติดตลก

“แล้วนี่กลับมาทำไม”

“พอดีปิดเทอมน่ะ เลยกลับมาเยี่ยมบ้าน เดี๋ยวฉันจะไปหาที่ใต้นะ อยากเห็นหน้าพี่ชายสุดหล่อของเธอด้วย”

“ไม่ต้องไปหรอกปอ คือตอนนี้ฉันเอ่อ... อยู่จังหวัดเดียวกับเธอ” หญิงสาวตอบอึกอักและเตรียมใจรอตอบคำถามของเพื่อนรักที่กำลังจะตามมาอีกเป็นชุดเพราะรู้ดีว่าพันธิตราช่างซักแค่ไหน

“ว่าไงนะยัยเร เธออย่ามาอำฉันนะ” พันธิตราไม่ค่อยเชื่อนักเพราะว่าปกติรามาวตีเป็นคนขี้เล่น แถมยังขี้แกล้งเป็นที่หนึ่ง

“ไม่ได้อำนะ พูดจริงๆ”

“แล้วตอนนี้เธออยู่ส่วนไหนของจังหวัด กรุณาบอกมา ฉันจะได้รีบไปหาถูก”

“อยู่ที่ไร่วิจิตรา กับเอ่อ...” รามาวตีกลายเป็นคนติดอ่างไปชั่วขณะ “...กับคู่หมั้น”

“ว่าไงนะ!?!” พันธิตราอุทานเสียงหลง “นี่เธอหมั้นแล้วเหรอ อย่าบอกนะว่าคู่หมั้นของเธอคือ... คุณปฏิภาณ”

“ใช่... เธอรู้จักเขาด้วยเหรอ”

“ยัยเรฉันจะฆ่าเธอ” พันธิตราตวัดเสียงสูงปี๊ด

“ทำไมล่ะปอ ฉันทำอะไรผิดเหรอ?” รามาวตีถามงงๆ

“ฉันกรี๊ดของฉันมาตั้งนาน จู่ๆ เธอก็มาคว้าไปซะงั้น ฉันรับไม่ได้” อีกฝ่ายโวยวายดังลั่น

“เธอกรี๊ดคุณปฏิภาณน่ะเหรอ แล้วเธอไม่ชอบพี่โรมแล้วหรือไง?”

รามาวตีถามไปอย่างนั้น เพราะหล่อนเองก็ยอมรับทุกประการว่าคู่หมั้นของตนเป็นหนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แฝงไว้ด้วยพลังแห่งบุรุษที่ดึงดูดของเพศตรงข้ามไม่แพ้รามิล ยากนักที่สตรีคนใดจะต้านทานเสน่ห์ของเขาได้

“ใช่สิยะ... โอ๊ยย เธอรู้ไหมว่าคุณปฏิภาณเป็นผู้ชายที่สาวๆ กรี๊ดกันทั้งจังหวัด เหล่าบรรดาข้าราชการทหารตำรวจหรือนักธุรกิจทั้งหลายต่างอยากจะประเคนลูกสาวให้เขาทั้งนั้นแหละ พี่โรมฉันก็ปลื้มแต่คนนี้ฉันก็รักของฉันจริงๆ” พันธิตราทำท่าโอดครวญหนัก

“ขนาดนั้นเลยเหรอปอ เจ้าชู้นะเรา” รามาวตีพูดกลั้วหัวเราะ

“ใช่สิ...” พันธิตราย้ำชัด “ก็เขาทั้งหล่อ เท่ โหด เถื่อน เก่ง รวย แถมบทรักก็เร่าร้อนอีกต่างหาก ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ครบเครื่องไปซะทุกอย่าง ถ้าฉันถูกเขาจูบฉันคงจะละลายไปตรงนั้นแหงๆ” เพื่อนสาวทำเสียงเพ้อๆ จนรามาวตีหัวเราะคิกคัก แต่ก็อดแปร่งๆ กับคำว่า ‘บทรักเร่าร้อน’ ไม่ได้

“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าบทรักของเขาเร่าร้อน?”

“สายตาเรดาร์อย่างฉัน แค่มองผ่านๆ ก็รู้แล้ว แต่เดี๋ยวต่อไปเธอก็จะได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว คิดแล้วก็ทั้งอิจฉาทั้งอยากฆ่าเธอทิ้ง” พันธิตราทำเสียงฮึดฮัด แต่อีกฝ่ายกลับนั่งเขินและหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก เพราะคำพูดโผงผางตรงไปตรงมาของผู้เป็นเพื่อนรักนั้นเริ่มเฉียดความจริงเข้าทุกทีแล้ว

“ชอบก็จีบเลยสิ” รามาวตีพูดเหมือนเปิดทาง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel