ตอนที่ 2 พยายามจะลืม
จนวันที่พ่อเสียเพราะแม่เมา และพาผู้ชายไปมีอะไรกันบนห้องของพ่อ พ่อช็อคและหัวใจวายตา นั่นทำให้เราเลือกที่จะไม่อยากอยู่กับแม่อีกแล้ว และเราก็ออกจากบ้านมาเลย เราหาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบและได้ทำงาน ตลอดเวลา 7 ปี เราไม่เคยกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีกเลย เราได้แต่รู้ข่าวเรื่องของแม่จากเพื่อนอย่างแอมที่ได้เจอเท่านั้น
“มน แกได้ยินมั้ยอ่ะ แกยังฟังฉันอยู่ปะเนี้ย”
เสียงของแอมทำให้เราได้สติกลับมา ทั้งๆที่เราพยายามจะลืมเรื่องราวทั้งหมด แต่ไม่รู้ทำไมทั้งหมดมันถึงยังอยู่ในหัวของเราได้ทั้งหมดก็ไม่รู้
“อืม ได้ยิน”
“เออ นั่นแหละ แกรู้ปะว่าเขาด่าแม่แกแรงมากอ่ะ แรงชิบหาย โคตรน่าอายมากๆ”
“ก็แค่ด่ามั้ย เอ๊ะ หรือว่า มีทำร้ายด้วย”เราอะใจขึ้นมาเลย เพราะถึงแม้เขาจะเคยทำเรื่องไม่ดี แต่เขาก็ยังเป็นแม่เรานะ
“ก็ครบแหละแก แต่แม่แกแรงเยอะกว่านะ ตบเขาซะคว่ำเลย แถมยังให้ลูกน้องในร้านลากไปทิ้งข้างนอกด้วย แม่แกก็โหดเหมือนกันนะ”เสียงของไอ้แอมดูกลัวๆแม่ของเราอยู่เหมือนกัน
“อืม งั้นก็แสดงว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร”
“เออก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่แกจะไปดูเขาหน่อยมั้ยละ แล้วเรื่องแต่งงานอีก แกจะแต่งงานในอีก 2 เดือนข้างหน้าแล้วไม่ใช่เหรอ แกจะไม่ไปบอกเขาหน่อยเหรอ หรือไม่ แกก็ใช้บ้านนั้นเป็นเรือนหอไง ยังไงก็บ้านแกปะ”
“ฉันอยู่กับเขาไม่ได้หรอกแกรู้ไม่ใช่เหรอ”
“แต่มันก็ยังดีกว่าแกเช่าบ้านอยู่นะ เพราะเศรษกิจแบบนี้แกจะซื้อบ้านมันก็จะหนักไปอ่ะ ฉันไม่อยากให้แกเหนื่อย แต่ถ้าแกกลับไปอยู่บ้าน ก็แค่หาค่าน้ำค่าไฟเฉยๆปะ อย่างน้อย มันก็ดีกว่า”
มันก็จริงอย่างที่แอมพูด เพราะบ้านของเราอยู่ในกลางเมืองกรุงเทพ มันเป็นบ้านที่ดินที่เป็นที่มรดกของพ่อ ที่พ่อมาสร้างหลังจากแต่งงานกับแม่แล้วและพ่อก็เป็นคนส่ง ถึงแม้พ่อจะเปลี่ยนไปเป็นชื่อแม่ แต่ถึงอย่างนั้นเราที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกแม่ เราจึงมีสิทธิ์ในบ้านหลังนี้แบบเต็มๆ
“ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกันนะ”
“อย่าคิดนานนะเว้ยแก งานแต่งใกล้มาแล้ว”
“รู้น่า ฉันจะไปทำงานแล้ว แค่นี้นะ”
“อืม มีไรก็โทรมาเว้ย”
“อืม”
เรากดวางสายก่อนจะรีบแต่งตัวและออกจากบ้านมาเพราะว่ามันจะสายแล้ว เราตรงไปที่โรงเรียน ซึ่งวันนี้เด็กนักเรียนของเราดูหน้าตาสดใสกันมากๆ อาจจะเป็นเพราะวันนี้มันเปิดเทอมวันแรกด้วยก็ได้ และพอถึงช่วงโมงโฮมรูมเราก็เอ่ยชื่อนักเรียน จนมาถึง พิชญณี เธอไม่ยอมขานรับชื่อ เธอเอาแต่กดโทรศัพท์ เราจึงเข้าไปหาเธอแต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจอะไรเราเลยนะ
“พิชญณี ครูเรียกชื่อเธอ เธอไม่ยินเหรอจ้ะ”
เธอค่อยๆวางโทรศัพท์พร้อมกับจ้องมองเรา
“ได้ยินแต่ไม่อยากตอบ ครูมีไรปะ”
เราก็ตกใจกับคำตอบของเด็กน้อยวัย 18 คนนี้เหมือนกันนะ ทำไมเธอถึงก้าวร้าวได้ขนาดนี้
“เพราะอะไรเหรอ ไม่ชอบครู หรือว่าอะไร”
“ครูน่ารำคาญ ครูอยากสอนก็สอนไปซิ จะมายุ่งอะไรกับคนอื่นนักหนา”
“แต่ครูเป็นครูประจำชั้นของเธอนะ”
“แล้วไง ก็เสียค่าเทอมปะ แพงด้วยนะ ไม่ใช่มาเรียนฟรี หยุดทำตัวน่ารำคาญได้ละ”
เธอตวาดใส่เราก่อนจะก้มลงไปเล่นเกมส์ต่อ อะไรวะเนี้ยทำไมหยาบคายแบบนี้ ปกติเจอแต่เด็กอนุบาลน่ารักๆ มาเจอแบบนี้แอบช็อกนะ เราจึงเลือกที่จะยึดโทรศัพท์ของเธอมาถือไว้ นั่นเลยทำให้เธอโมโหเราใหญ่เลย เธอเข้ามาผลักเราจนโทรศัพท์ร่วงพื้นแตก อันนี้ช็อกหนักไปกว่าเดิมอีก เธอเลยเงยหน้ามามองเรา พร้อมกับชี้หน้าเราอย่างไม่พอใจ
“เป็นแค่ครูกระจอกปะ หยุดจุ้นจ้านได้ละ”
แล้วเธอก็คว้าโทรศัพท์ออกจากห้องเรียนไปเลย อะไรอ่ะ นี่แค่วันแรกเราก็เจองานยากซะแล้วเหรอ ปวดหัวจัง
“ครูขา อย่าไปยุ่งกับมันเลยค่ะ มันก้าวร้าวแบบนี้แหละ ไม่มีใครคบมันหรอก”เด็กนักเรียนในห้องเอ่ยขึ้น อ๋อเด็กมีปัญหา และเรก็ไม่ควรปล่อยไปแบบนี้นะ
และหลังจากที่เราเลิกสอน เราก็ไปหาข้อมูลของพิชญณี ในข้อมูลบอกว่าพ่อแม่เธอยังอยู่ด้วยกัน แต่เธออยู่ในความปกครองของอา เธอมักไม่ตั้งใจเรียนและชอบแกล้งครู จนครูแต่ละคนระอากับนิสัยของเธอ ว่าแต่ทำไมถึงอยู่ในความปกครองของอาได้นะ ก็พ่อแม่ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ เราก็คิดไม่ตกจริงๆ และพอเรากำลังจะกลับบ้านหลังจากที่ตรวจงานของนักเรียนเสร็จ เราก็เหลือบไปเห็น ว่าพิชญณีกำลังนั่งและถือบุหรี่เอาไว้ในมือกับพวกเด็กวัยรุ่นผู้ชายที่ไม่ได้เรียนอยู่ในโรงเรียนของเรา เราโกรธมากนะ เราเลยเดินไปแย่งบุหรี่ในมือของพิชญณีมาถือแล้วทิ้งมันลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้จนแหลก
“พิชญณี เธอทำแบบนี้ทำไม นี่มันของไม่ดีนะ”
“แล้วครูมายุ่งอะไรกับหนูอ่ะ เป็นพ่อเป็นแม่รึไง”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ มานี่เลยกลับบ้านกับครู ครูจะไปส่งเธอที่บ้าน”
“ไม่ บอกว่าอย่ามายุ่งไงเล่า”
พิชญณีสะบัดมือเราแต่เราไม่ยอมปล่อยหรอก เราจะไม่ยอมให้ลูกศิษย์ของเราหนีกับเด็กพวกนี้เด็ดขาด เธอพยายามผลักเราจนมือเราไปฟาดกับต้นไม้ บอกเลยเจ็บชิบ ก่อนที่เธอจะพยายามวิ่งหนี แต่เราก็ยังคว้ามือเธอไว้ทันจนได้ถึงแม้จะเจ็บก็เหอะ
จนมีรถหรูมาจอดเทียบข้างพวกเราที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นั่นแหละ พิชญณีถึงยอมหยุดพยศ และยืนสงบนิ่งไปเฉยเลย เล่นเอาเรางงเลยนะ ว่าแต่นึกจะสงบก็สงบง่ายๆแบบนี้เลยงั้นเหรอ จนซักพักก็มีผู้ชายเดินลงมาจากรถ เขาคือคนขับรถคันนั้น ส่วนคนที่นั่งด้านหลังเราเห็นแววนะว่า เขานั่งอ่านหนังสือโดยไม่หันมาสนใจพวกเราเลยซักนิด