๑ ต้อนรับกลับบ้าน (๑)
๑
ต้อนรับกลับบ้าน
ขายาวก้าวออกจากสนามบินพร้อมกระเป๋าเพียงใบเดียวทั้งที่ไปร่ำเรียนปริญญาโทที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาเสียหลายปี อีกทั้งยังทำงานหนึ่งปีก่อนจะกลับประเทศไทยเพราะทนคำรบเร้าของทางบ้านไม่ไหว
เขาไม่ได้บอกใครว่ากลับก่อนกำหนดอยากจะทำให้ทุกคนตกใจ ริมฝีปากบางเฉียบราวอิสตรียกยิ้มขึ้น พลางโบกแท็กซี่เพื่อกลับบ้านใหญ่ไปทักทายคนให้ทุนการศึกษา ทว่ายังไม่ทันเปิดประตูก็โดนตัดหน้าเสียก่อนจนต้องโวยวายเสียงดัง
“อ้าวคุณ ผมมาก่อน” จับประตูที่กำลังจะปิด พลางจ้องมองเข้าไปข้างในที่ผู้ชายคนนั้นนั่งราวไม่รู้สึกรู้สาที่มาแซงคิว
“ผมรีบ คุณขึ้นคันต่อไปแล้วกัน ไปเลยลุง” ปิดประตูพลางสั่งคนขับรถ เล่นเอาหนุ่มนอกหัวเสียมองตามหลังรถคันนั้นไปด้วยอารมณ์โกรธ มือหนากำเข้าหากันแน่น อย่าให้เจอกันอีกนะ พ่อจะซัดให้ไม่เหลือเค้าหน้าเดิมเลย
คันต่อไปจอดเทียบชายหนุ่มถึงได้ขึ้นไปนั่งด้านหลัง บอกที่หมายก่อนรถจะแล่นไปตามทาง จากเมืองไทยไปเสียนานแทบไม่เปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่ตึกซึ่งสร้างขึ้นมากกว่าเดิม ทั้งยังสูงเสียดฟ้าจนหนุ่มวิศวกรโยธาคันไม้คันมืออยากเข้าไปทำงานเสียวันนี้
รอก่อนเถอะ...นายคีรินทร์ วิจิตรประภา คนนี้จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการวิศวกรเมืองไทยเอง!
หลังเลิกเรียนเด็กน้อยต่างพากันสะพายกระเป๋าเดินไปหาผู้ปกครองซึ่งมารอรับอยู่หน้าโรงเรียน ประตูทางออกมีครูมายืนรอส่งนักเรียน ก่อนออกไปข้างนอกหนูๆ ก็หันมาไหว้ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา หล่อนยิ้มหวานกลับพร้อมยกมือรับไหว้
ยืนส่งกระทั่งเด็กคนสุดท้ายออกจากโรงเรียนประถมวัยแห่งนี้หมด ถึงได้กลับมายังห้องพักครูแล้วจัดการเก็บของใส่กระเป๋า ไม่มีการบ้านต้องตรวจและเสาร์อาทิตย์นี้ไม่ได้เข้าเวรถึงตัดสินใจจะกลับไร่ไปอยู่กับมารดา
“อ้าวครูบอล” เดินออกมาข้างนอกก็เจอครูสอนพละกำลังจะกลับเช่นเดียวกัน หล่อนทักทายเขาก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินเข้ามาหา
“กำลังจะกลับเหรอครับ” ชายหนุ่มสูงชะรูดจนเดินข้างกันต้องแหงนมอง อีกทั้งเป็นขวัญใจเด็กน้อยรวมถึงคุณครูหลายท่าน ชื่นชมในความหล่อสมาร์ทของคนตัวโต ทั้งร่ำรวยจากกิจการค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด หญิงสาวหลายคนหมายปองแต่ดูเหมือนฝ่ายชายจะไม่ชายตาแลใครสักคน
เอาแต่จับจ้องมายังผู้หญิงคนเดียว ซึ่งหล่อนไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาสักนิด ถึงจะพยายามแสดงออกมากแค่ไหนก็ตาม
“ค่ะ พรุ่งนี้ไม่มีเวรเลยว่าจะกลับไร่” ตอบขณะที่เดินไปยังลานจอดรถของครู เธอขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าของมารดาต่างจากเขาซึ่งขับรถเบ้นซ์ที่ไม่ค่อยเห็นในต่างจังหวัดเช่นนี้
คนฟังอดห่อเหี่ยวไม่ได้หวังว่าจะได้อยู่เวรกับหล่อน แต่ดูเหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจ เทอมนี้แทบไม่ได้เข้าเวรพร้อมกันสักครั้ง ราวกับใครกลั่นแกล้งเสียอย่างนั้น เหลียวมองใบหน้าหวานจากทางด้านข้าง เธอไม่ใช่คนสวยสะดุดตา แต่งามพิศมองได้นานไม่รู้เบื่อ เจอกันครั้งแรกตอนเขามาบรรจุใหม่ๆ เดินหาอาคารเรียนไม่เจอ ร่างบางก็ช่วยบอกทั้งยังพาไปถึงห้อง คอยแนะนำเรื่องต่างๆ และไม่ก้าวข้ามคำว่าเพื่อน
แววตาของหล่อนไม่หลงใหลได้ปลื้มเขา ยิ่งทำให้ประทับใจมากขึ้น ไม่เหมือนหญิงอื่นซึ่งแสดงชัดเจนว่าชอบอยากครอบครองเขามากเพียงใด
“แล้วเจอกันวันจันทร์นะคะ” ค้อมศีรษะให้คุณครูซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ค่อยขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ สวมหมวกกันน็อคแล้วขับออกจากรั้วโรงเรียน เขามองตามพลางถอนหายใจออกมาช้าๆ อยากขยับเข้าไปใกล้มากกว่านี้ แต่เหมือนหล่อนจะมีกำแพงบางๆ กั้นเอาไว้
ราวกับมีคนในใจอยู่แล้ว อยากรู้เหลือเกินว่าคนโชคดีคนนั้นคือใคร ถึงได้ครอบครองหัวใจของมธุรดา ธรรมสรณ์ไปทั้งดวง
ไร่รุ่งอรุณยามเย็นสวยจับตาจนคนที่เพิ่งมาถึงต้องมองไปยังอาทิตย์อัสดง แสงสีส้มนวลตาจนรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพไว้ บ้านหลังน้อยของแม่ที่คุณผู้ชายอย่างคุณพณณกรสร้างให้สำหรับพักอาศัยเงียบเชียบราวไม่มีคนอยู่
บ้านไม้ชั้นเดียวที่มีดอกไม้ปลูกเต็มหน้าบ้าน ยายชอบเด็ดไปไหว้พระหรือใส่บาตรยามเช้า ข้างกันนั้นคือบ้านพักของเหล่าคนงานที่เชื่อมติดกัน พื้นที่ไม่ค่อยเยอะเหมือนบ้านของหล่อน และมีบ้านหลังใหญ่ล้อมรั้วของคุณดนัย ผู้จัดการไร่ซึ่งอยู่กับลูกชายอย่างพี่โอบเอื้อ ทว่าหล่อนไม่ค่อยได้เจอเขานักหรอก อีกฝ่ายมักยุ่งกับงานที่ฟาร์มเสมอ
ขึ้นมาบนบ้านที่เทปูนสูงเหนือพื้นสามเมตร ได้กลิ่นอาหารโชยมาจากครัวค่อยอมยิ้มแอบย่องเบาไปทางด้านหลัง เห็นยายกำลังขะมักเขม้นกับการปรุงมื้อเย็นก็แอบอมยิ้ม ก้าวเข้าไปกอดท่านจากทางด้านหลังเล่นเอาคนแก่สะดุ้ง
“ยายทำอะไร” ท่านหันมาเอ็ดใส่
“มาให้ให้ซุ่มให้เสียง ข้าตกใจหมด นังเด็กคนนี้น่าตีจริงเชียว” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็โอบกอดหลานรักเอาไว้ ค่อยผละออกมาทำอาหาร
ภูมิใจในตัวหลานคนนี้มากจนเอาไปคุยอวดคนทั้งไร่ว่าหลานสอบติดราชการ บรรจุเป็นครูผู้ช่วยตั้งแต่เพิ่งจบได้ไม่ถึงปี ทุกคนยินดีด้วยเพราะงานค่อนข้างมั่นคง ถึงเงินเดือนจะไม่เยอะแต่ก็ขึ้นตามขั้นทุกปี ครอบครัวสามารถพึ่งพายามเจ็บไข้ได้ป่วย มีสวัสดิการรักษาทั้งสามารถกู้ยืมสหกรณ์ได้
“ยายทำอะไรกิน” ชะโงกหน้าไปดูเห็นผักเต็มไปหมด
“ข้าจะทำอ่อมไก่ ปิ้งปลาช่อน แล้วก็ตำน้ำพริก เอ็งมาก็ดีเหมือนกัน ไปตำน้ำพริกให้หน่อย รสมือเอ็งดี” รับคำอย่างรวดเร็วแล้วไปหยิบครกกับสากมานั่งตำอยู่พื้นบ้าน ยายยุภาพรย่างพริก มะเขือเทศและหัวหอมไว้แล้ว หล่อนจึงหยิบมาตำในครก ตำสักพักพอมันละเอียดถึงได้ปรุงรสด้วยการเหยาะน้ำปลา บีบมะนาว ใส่ผงชูรส เติมน้ำปลาร้าสุก ไม่ลืมใส่เนื้อปลาร้าเพิ่มรสชาติน่ากิน
“เอาปลามาจากไหนเหรอยาย” หันไปเห็นยายกำลังอบปลาในหม้อลมร้อนจึงถามขึ้น
“ผัวอีเพ็งไอ้ปั้นน่ะ มันไปดักปลาได้มาหลายตัว ขายโลละห้าสิบเอง ข้าเลยซื้อสองโล” หล่อนพยักหน้าเข้าใจแล้วตำน้ำพริก ไม่นานมารดาก็เข้ามาในบ้านพร้อมผลไม้อีกกระบุงใหญ่ ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองแม่นุ่มนิ่มก่อนจะยิ้มให้
“อาทิตย์นี้ไม่อยู่เวรเหรอ” เห็นบุตรสาวเพียงคนเดียวก็เอ่ยถาม จัดการล้างผลส้มแล้วนำมาใส่ถาดไว้ให้นางยุภาพรใส่บาตรตอนเช้า
“อาทิตย์นี้ไม่มีเวรจ้ะ แล้วแม่ไปไหนมา” ตักน้ำพริกใส่ถ้วยแล้วลุกขึ้นไปล้างครกกับสาก
“ไปหาป้าบัวแกนั่นแหละ คุยเรื่องจัดงานต้อนรับคุณคี” ตกใจจนต้องหันมามองมารดาก่อนจะถามเสียงดังเล่นเอาคนแก่ตระหนกไปด้วย
“คุณคีจะกลับมาแล้วเหรอแม่!” ไม่อยากให้วันนั้นมาถึงสักนิด หล่อนคิดว่าอย่างไรชายหนุ่มก็ต้องไปทำงานที่เมืองหลวง คงไม่เจอกันแน่ แต่ทำไมมันผิดคาดขนาดนี้ ดวงตากลมโตเริ่มแสดงความวิตกกังวลไม่ต้องการพบเจอเขา ตั้งแต่วันนั้นมาก็เข้าหน้าไม่ติด
ดีที่เรียนคนละมหาวิทยาลัยและป้าบัวก็ไม่ได้ไหว้วานให้ไปหาบุตรชายคนเล็กอีก พอเขาเรียนจบก็ไปต่อต่างประเทศทันที กลายเป็นเส้นขนานจนคิดว่าคงไม่พบเจอกัน แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้เสียได้...อยากจะตีอกชกหัวตัวเองเหลือเกิน
“เอ็งนี่ จะพูดอะไรเสียงดัง ข้าตกอกตกใจหมด” คนเป็นยายหันมาเอ็ดพลางตักอ่อมไก่ใส่ถ้วย
“เห็นป้าบัวบอกว่าพ่อเขาอยากจัดงานต้อนรับลูกชายที่ไร่ พอเสร็จแล้วคงกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ” ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เธอไม่ค่อยชอบคีรินทร์สักเท่าไหร่ เจอหน้าเป็นต้องโดนอีกฝ่ายประชดประชันหรือพูดจายั่วโมโหทุกที ขอไม่พบเป็นดีที่สุด และสวรรค์ยังเมตตาอยู่บ้างถึงให้ชายหนุ่มตัดสินใจไปเมืองหลวงแทนการกลับมาทำงานที่นี่
ค่อยยังชั่วหน่อย...
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปช่วยแม่ทำกับข้าวหน่อยนะ ไม่ค่อยมีคนพอดีเลย” พยักหน้าเล็กน้อย อยู่แต่ในห้องครัวคงไม่ได้เจอกันหรอก
“แล้วเขาไม่จัดกันที่กรุงเทพฯ ล่ะ” ยายยุภาพรถามขึ้นขณะยกถ้วยไปวางที่โต๊ะกินข้าว
“เมื่อวานจัดไปแล้ว พรุ่งนี้เลยอยากจัดที่ไร่ คุณเอิร์ธคงอยากฉลองให้ลูกอีกรอบนั่นแหละ อีกอย่างเห็นว่าหมักเหล้าเอาไว้คงหาเรื่องกิน เพราะถ้าไม่จัดงานบัวก็ไม่ให้แตะของมึนเมา" ฟังมารดาเล่าเรื่องครอบครัวเจ้าของไร่ก่อนจะสะดุดเมื่อชื่อของคนที่แอบชอบโผล่เข้ามาในบทสนทนา
“คุณตะวันก็จะกลับมาบ้านเหมือนกัน ครั้งนี้คงอยู่ยาวเพราะทางบ้านคุณต่ายไฟเขียวให้คบกันแล้ว” ใจกระตุกเมื่อฟังจบ หล่อนเหมือนนางร้ายที่แอบภาวนาให้คนทั้งสองเลิกรากัน แต่สุดท้ายดูเหมือนจะเดินเข้าประตูวิวาห์ไวกว่ากำหนด
ใบหน้าหวานก้มต่ำเล็กน้อย ไปเปิดดูหม้ออบลมร้อนซึ่งอบปลาช่อนที่ใกล้สุกแล้วพลิกอีกทาง พยายามไม่คิดเรื่องคนที่ถูกพูดถึงเพราะยิ่งทำให้ชอกช้ำมากกว่าเดิม
“แต่งกันก็ดีสิ ข้าชอบละครของคุณต่าย สวย แสดงดี มาเป็นนายหญิงของไร่เมื่อไหร่ข้าจะตามถ่ายรูปทุกวันเลย” พูดไปเรื่อยจนคนเป็นลูกส่ายหน้า
“แม่จะไปตีสนิทเอาลายเซ็นเขาไปขายต่อน่ะสิ” ยายยุภาพรค้อนลูกสาวทันที
“ทำเป็นรู้ทัน” ถึงจะอายุปูนนี้ก็ยังแข็งแรง สามารถทำงานในไร่ได้ไม่อยากออกมานั่งอยู่บ้านเฉยๆ ประเดี๋ยวจะเบื่อเสียเปล่า
มธุรดาไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ กลายเป็นนั่งเงียบก่อนจะแอบออกไปข้างนอกปล่อยให้แม่และยายพูดคุยกันอย่างออกรส ใบหน้าหวานหม่นลงเล็กน้อยแล้วเดินไปตามทางดินแดงซึ่งทอดยาวไปในป่าทึบ ซึ่งหากไม่เก่งเรื่องการเดินป่าคงมีหลงได้ง่าย
หล่อนเลือกจะเดินแยกไปท้ายไร่ที่เป็นน้ำตก ส่วนมากคนงานจะเข้าไม่ได้ แต่หล่อนได้รับอนุญาตจากป้าบัวให้มาเล่นที่น้ำตกได้ทุกเมื่อ พอถึงทางเข้าก็ค่อยเปิดประตูไม้ออกแล้วปิดลง เข้ามาภายในได้ยินเสียงน้ำตกดังจนกลบเสียงจิ้งหรีด ละอองน้ำและความร่มรื่นของต้นไม้ทำให้บรรยากาศเย็นจนต้องยกมือขึ้นกอดแขน
ไฟมีดวงเดียวพอให้แสงสว่าง หล่อนเดินมานั่งยังโขดหินเหม่อมองน้ำด้วยความคิดที่ล่องลอย ตั้งแต่ยังเด็กเธอเคยมาเล่นน้ำตกคนเดียว แล้วเป็นตะคริวจมน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ภูตะวันมาช่วยไว้เสียก่อน ถึงรอดจากความตาย
‘คนิ้งตื่นสิ นิ้ง นิ้ง’ เสียงเรียกดังขึ้นข้างหู ก่อนจะสำลักน้ำที่กลืนเข้าไป ค่อยลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นใบหน้าของพี่ชายที่เคารพ อีกฝ่ายยิ้มอย่างดีใจประคองหล่อนให้นั่งแล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนให้ตกในภวังค์
‘ดีขึ้นไหม เป็นยังไงบ้าง’ จ้องเข้าไปในดวงตาของเขาที่แสดงความห่วงใย ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ไม่คิดว่าตนเองจะรอดจากความอึดอัดภายใต้สายน้ำอันหนาวเหน็บได้
‘คุณตะวันช่วยนิ้ง เหรอคะ’ ถามเสียงเครือ แต่ฝ่ายนั้นนิ่งไปสักพักแล้วชวนหล่อนกลับ ไม่ตอบคำถามของเด็กหญิงตัวน้อย ทว่าเธอเข้าใจว่าเขาคือคนที่ช่วยตนเองขึ้นมาจากน้ำ แววตาที่มองภูตะวันเปลี่ยนไปโดยที่ฝ่ายชายไม่อาจรู้
จากเด็กหญิงที่คิดกับเขาเพียงพี่ชาย กลับแปรเปลี่ยนเป็นความรักที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว...
“อื้อ ช้าก่อนสิคะคี” ตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงครางจากหญิงนางหนึ่ง หล่อนรีบหลบไปอยู่หลังต้นไม้ทันที ค่อยชะโงกหน้ามามองต้นเหตุที่ทำให้เกิดเสียงนั้น รีบยกมือขึ้นปิดปากกลัวจะเปล่งเสียงร้องซึ่งแสดงถึงความตกใจออกไป
คิดว่าตัวเองตาฝาดจนต้องกระพริบตาถี่ เปลี่ยนเป็นยกมือมาขยี้ตาอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวขาวราวไม่เคยต้องแสงแดดกำลังกอดรัดหญิงสาวหุ่นสะโอดสะองเอาไว้ มือหนาลูบบั้นท้ายงามงอน ขณะที่ริมฝีปากก็แทบไม่ห่างจากกัน แนบชิดจนหล่อนกังวลว่ามันจะติดจนแกะไม่ออก
นั่นมัน...คีรินทร์ลูกชายคนเล็กของคุณพณณกร!
มธุรดาหันหน้าหนีแล้วนั่งลง อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เหลือเกิน ไม่รู้จะประจวบเหมาะอะไรขนาดนี้ถึงกลายเป็นบุคคลที่สามในเหตุการณ์แสนหฤหรรษ์ จะออกไปได้อย่างไรในเมื่อทางเข้าทางออกคือทางเดียวกัน และชายหญิงคู่นั้นก็กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงไม่อายผีสางนางไม้
“ไม่ไหวแล้ว หุ่นคุณเอ็กซ์จนผมแทบบ้า” กระซิบเสียงแหบพร่า จนคนแอบฟังใจเต้นไปด้วย หล่อนไม่เคยอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอวนขนาดนี้มาก่อน นั่งคิดหาวิธีจะออกไปก็มีทางเดียวคือต้องให้สองคนนั้นเสร็จภารกิจแสนวาบหวาม
แล้วมันใช่เรื่องที่หล่อนต้องมารับรู้ด้วยไหม! อยากจะบ้าตายจริงๆ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อ แทนที่จะดูหน้าดูหลังก่อนว่ามีใครอยู่หรือเปล่า ถอนหายใจหลายรอบแล้วก้มหน้าลง ยกมือขึ้นปิดหูสกัดกั้นการรับฟัง
“มันแข็งแล้ว ให้ฉันช่วยไหมคะ”
“ช่วยยังไง บอกหน่อยได้ไหม หืมห์” รีบทำให้มันเสร็จสักทีเถอะ จะลีลาท่ามากอยู่ทำไม หล่อนอยากออกไปจะแย่แล้ว
“ก็ช่วย...ให้มันลงไงคะ” หลังจากนั้นเสียงครางก็ดังขึ้นจนรีบเอามืออุดหูไว้แน่นกว่าเดิม ก่นด่าลูกชายคนเล็กเจ้าของไร่ว่าไม่รู้จักอายบ้างเลย พาผู้หญิงมาทำบัดสีบัดเถลิงในป่า อยากจะมีไม้หน้าสามเอาไปตีให้หัวเบะ เผื่อจะคิดได้ การศึกษาไม่ได้ยกระดับจิตใจคนจริงๆ ใช่ว่ามีอารมณ์ที่ไหนแล้วต้องปลดปล่อยตรงนั้น เป็นสัตว์หรืออย่างไรถึงทำตัวไม่ต่างจากเดรัจฉานขนาดนี้
ด่าเขาในใจก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงโทรศัพท์ของตนเองดังขึ้น รีบล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วกดตัดสายพร้อมปิดเสียงทันที ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเปิดเสียงเรียกเข้าเอาไว้เพราะมีผู้ปกครองจะโทรมาปรึกษาเรื่องลูก
“ใครน่ะ!” ตะโกนถามเสียงดังผละจากคู่ของตนเองทันที เขาย่างเท้าเข้าไปที่หลังต้นไม้ซึ่งกำบังร่างของหญิงสาวเอาไว้ มธุรดากัดริมฝีปากพลางคิดหาวิธีเอาตัวรอด มองซ้ายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่หากกระโดดลงไปหล่อนต้องแย่แน่ ส่วนทางขวายิ่งไม่ต้องพูดถึง เหมือนออกไปให้ชายหนุ่มจับได้
ระหว่างที่ตัดสินใจอยู่นั่นแขนเรียวก็ถูกเขาคว้าไว้ได้ก่อน อารามตกใจจึงหันหน้าไปมองร่างสูงที่จ้องมาก่อนหน้าแล้ว
เป็นการเจอกันในรอบเจ็ดปีที่เลวร้ายที่สุด!