ตอนที่ 4 คัดเลือกสะใภ้
สำนักพยัคฆ์เมฆาตั้งตระหง่านบนยอดเขาไป๋ซานทิศตะวันตกของแดนเหนือต้าซาน
สัญลักษณ์พยัคฆ์เหยียบเมฆเหนือเพดานขนาดใหญ่ บ่งบอกความโดดเด่นเหนือสามัญ
ห้องโถงขนาดใหญ่ เหล่าผู้อาวุโสของสำนักต่างยืนเรียงรายสองฝั่งทางเดินเพื่อรอการปรากฎกายของคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นคือเจ้าสำนักพยัคฆ์เมฆานามว่าโจวเฟิง
ไม่นาน บุรุษร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีขาวหล่อเหลาราวเทพเซียนก็เดินเข้ามาด้วยกิริยาเนิบช้า สูงส่งไม่ธรรมดา
“คารวะท่านเจ้าสำนัก” ทุกคนเอ่ยพร้อมเพรียง
เขาทักทายเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ “ผู้อาวุโสทุกท่าน เชิญตามสบาย ไม่ต้องมากพิธี”
ผู้เฒ่าพยัพเมฆฝ่ายเหนือเอ่ยขึ้น “ปีนี้เจ้าสำนักของพวกเราเพิ่งฝึกวิชาขั้นสุดยอดสำเร็จ อีกทั้งยังมีอายุเหมาะแก่การแต่งงาน สมควรมีทายาทผู้สืบทอดเคล็ดวิชาเพื่อรอรับช่วงต่อสำนักอันยิ่งใหญ่เสียที”
ผู้อาวุโสแห่งสรรพยุทธ์ฝ่ายใต้จึงลงความเห็นว่า “เช่นนั้นสมควรแก่เวลาคัดเลือกสะใภ้เข้ามาสักหลายคน”
ผู้เฒ่าเคราขาวใช้ความคิดขณะเอ่ยตามตรงว่า “เจ้าสำนักไม่นิยมบุรุษมากภรรยา ทว่ากลับมีสตรีทั่วหล้าหมายปองท่านในเวลาเดียวกัน เฮ้อ...ช่างตัดสินใจยากแท้”
ไม่ได้พูดยกยอเกินไปแต่เพราะเขาเลี้ยงของเขามาตั้งแต่เด็กย่อมรู้นิสัยใจคอ ดูเถิด ก่อนนี้ยังมีสตรีหลายสำนักมาตบตีแย่งชิงที่หน้าหุบเขาจนป่าไผ่ราบเป็นหน้ากลอง
หัวหน้าผู้คุมกฎรีบกล่าว “มิสู้คัดเลือกเพียงหนึ่ง ตามกฎยุทธภพ ให้สำนักทุกแห่งส่งตัวแทนมาประลองยุทธ ดีหรือไม่?”
นี่คือวิธีสามัญ แม้แต่การคัดเลือกเจ้าสำนักเองก็ใช้การประชันขันแข่ง ให้ฝีมือต่อสู้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นหนึ่งในสำนักตน เพียงแต่ครั้งนี้ให้คนต่างสำนักเข้ามาประลองฝีมือกัน
“ดี” ผู้อาวุโสทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน หันมาถาม “ท่านเจ้าสำนักคิดเห็นประการใด”
โจวเฟิงพยักหน้าเนิบนาบ ท่าทีราบเรียบลุ่มลึกสุขุม
ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้นว่า “เช่นนี้ รีบส่งข่าวไปยังสำนักต่างๆ เลยแล้วกัน”
โจวเฟิงเองก็ไม่ได้โต้แย้ง เพียงยกยิ้มมุมปากบางเบา สั่งเสียงนิ่ง “ส่งข่าวไปสำนักวิหคบุปผาให้รู้ก่อนอันดับแรก”
ข่าวการคัดเลือกภรรยาเจ้าสำนักพยัคฆ์เมฆาประกาศไปยังสำนักของยุทธภพไม่กี่แห่ง ทว่าบรรดาสตรีกลับเสนอตัวเข้ารับการคัดเลือกชนิดมืดฟ้ามัวดิน
วันงานประชันมาถึง หญิงสาวมากมายล้วนเข้ามาอย่างสามัคคีพร้อมพรั่ง
พวกนางถึงขั้นลงแรงมาประชันฝีมือด้วยตนเอง
โจวเฟิงปรากฎกายอยู่บนแท่นสูงตำแหน่งประธาน มองภาพนั้นด้วยกิริยาเรียบเฉย มิได้ยินดียินร้ายใดๆ
ผิดกับเหล่าสตรีทั้งหลายที่ตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก แม้พวกนางจะมีโอกาสเพียงได้เห็นแผ่นหลังตั้งสง่าของเขาจากบนหอคอย แต่แค่เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้พวกนางหวั่นไหวเคลิบเคลิ้มไปทั้งจิตและวิญญาณ
การได้จินตนาการถึงรูปร่างสูงใหญ่อันสมบูรณ์แบบภายใต้เสื้อคลุมสีขาวตัวยาวที่คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเผยเพียงดวงตาคมคายคู่นั้น ก็เพียงพอให้พวกนางใจสั่นแล้ว
การคัดเลือกสตรีที่เหมาะสมคู่ควรกับตำแหน่งสะใภ้แห่งพยัคฆ์เมฆางานนี้ กัวรั่วหลานย่อมไม่พลาดแน่นอน นางส่งตัวแทนสำนักวิหคบุปผามาหลายคนทีเดียว
หนึ่งในนั้นคือหลินซิงเยียน
บุตรสาวคนเล็กของนางที่มักเป็นตัวแทนสำนักเสมอ ไม่ว่าประลองที่ใดล้วนทำได้ดี ที่สำคัญ นางคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดสักนิด สำนักพยัคฆ์เมฆาต้องคัดเลือกสะใภ้ด้วยวิธีนี้
นิสัยของโจวเฟิงก็เช่นนี้ เห็นสุภาพสุขุมท่าทีลุ่มลึก แต่แท้จริงกลับมีนิสัยเสียบ้างเล็กน้อย นั่นก็คือชอบการต่อสู้แบบท้าประชัน ดังนั้นการเฟ้นหาเจ้าสาวนั่นคือเรื่องรอง แต่การประลองยุทธต่างหากคือเรื่องหลักที่จริงจังยิ่ง
ฝ่ายหลินซิงเยียน นอกจากมาตามคำสั่งมารดา นางยังมาเพราะจดหมายจากโจวเฟิงที่ส่งให้นางด้วยตัวเอง โดยผ่านมือมารดาอีกทอดหนึ่ง แท้จริงโจวเฟิงคือสหายผู้พี่ ชอบท้าประชันนางเช่นนี้เสมอ
ในจดหมายบอกว่า หากนางชนะการประลอง เขาจะมอบพิณกู่เจิงที่นางเคยขอให้ อีกทั้งยังจะรับปากว่า ต่อไปล้วนยอมตามใจทุกอย่าง ขอเพียงวันนี้ชนะเท่านั้น
หลินซิงเยียนย่อมไม่คิดอันใดลึกซึ้งเพียงตอบรับทันทีตามวิสัย การประลองยุทธ์แม้มีบ่อยจนเรียกว่าพร่ำเพรื่อ แต่ไม่เคยน่าเบื่อสำหรับหลินซิงเยียน ไม่ว่ามีท้าประชันที่ใด นางล้วนตอบรับทั้งสิ้น เพราะทุกคราที่เข้าร่วมแข่งขัน ล้วนเป็นการพัฒนาฝีมือต่อสู้ให้เก่งกาจยากหาใครเทียบ
พิธีการเริ่มต้นขึ้น ตัวแทนแต่ละสำนักคารวะทักทายพร้อมแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
ท่ามกลางสตรีที่มิใช่มีดีเพียงรูปร่างหน้าตาหรือนับเป็นโฉมงามสะคราญล้ำแต่ล้วนมีฝีมือยุทธ์ล้ำเลิศในงานนี้ โจวเฟิงยืนนิ่งด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์เคลิบเคลิ้มใด แต่เมื่อถึงลำดับของหลินซิงเยียน เรียวคิ้วคมพลันมีปฏิกิริยา
การประลองเริ่มต้นและดำเนินไป
มีทั้งสู้กันด้วยฝีมือเชิงยุทธ์แบบกลุ่มและหนึ่งต่อหนึ่ง รวมถึงการฝ่าค่ายกลของสำนักพยัคฆ์เมฆา จำนวนผู้เข้าร่วมประเมินคร่าวๆ ราวสี่สิบคน มีทั้งประลองวิชาตัวเบา ยิงธนู
โดยด่านที่หนึ่งยิงธนูเข้าเป้า ปรากฎว่าสตรีที่เข้าประชันตกรอบไปถึงสิบสามคน ส่วนหลินซิงเยียนได้แต้มเต็ม แน่นอนว่ายังมีคนอื่นอีกมากที่ชนะด่านนี้
ด่านที่สองประลองด้วยวิชาตัวเบา ทุกคนกระโดดเหยียบใบบัวเพื่อขึ้นฝั่ง ผู้ที่ตกน้ำถือว่าแพ้
ด่านนี้ขณะที่วิ่งระหว่างบนใบบัวหนึ่งไปยังอีกใบบัวยังแอบทำร้ายกันเอง จึงเหลือผ่านด่านเพียงยี่สิบคน
ด่านสามทุกคนห้ามใช้อาวุธทั้งยังต้องสู้แบบจับคู่กัน ทำให้มีผู้ชนะเหลือเพียงสิบคน
ด่านที่สี่แบ่งเป็นสองกลุ่มๆ ละห้าคน สู้พร้อมกัน คนที่ชนะเลิศในแต่ละกลุ่มจะต้องมาประลองกันเอง
ด่านนี้สามารถใช้อาวุธที่ถนัดได้