ตอนที่ 5 ไม่ยินดี1
หลินซิงเยียนนั้นสามารถใช้อาวุธได้เกือบทุกชนิด วันนี้นางใช้กระบี่ที่พลิ้วไหวเหมือนขนนกสำหรับต่อสู้ ขณะที่บางคนใช้แส้ บางคนใช้ดาบใบหลิว และบางคนใช้มีดสั้น
เสียงต่อสู้ดังเคล้งคร้างต่อเนื่องคล้ายเดือดดาลและคลั่งแค้นกันมานาน กระทั่งท้ายที่สุดด่านที่ห้ากลับเหลือเพียงคู่ต่อสู้แค่สองคน คือหลินซิงเยียนกับแม่นางเสี่ยวเตี้ยนจากสำนักมัจฉาวารี
การต่อสู้ที่มีตัวแทนซึ่งมีฝีมือสูงส่งแค่สองคนเช่นนี้ ทำให้ผู้ชมด้านนอกตื่นเต้นยิ่งนัก
คนหนึ่งพูดขึ้น “ข้าว่าสำนักวิหคบุปผาน่าจะชนะ”
อีกคนพูดขัด “แต่ว่าสำนักมัจฉาวารีพลิ้วไหวกว่า”
คนที่สามรีบสะกิดพลางว่า “แต่สำนักวิหคบุปผา มีวิชาฝ่ามือเหล็กกรงเล็บเหยี่ยวด้วยนะ เจ้าดู”
“โอ๊ะ! นางต่อกระบวนท่าด้วยฝ่ามือบุปผาสวรรค์!” สองคนอุทานพร้อมกันเมื่อเห็นซิงเยียนใช้วิชาฝ่ามือได้หลายกระบวนท่า ตามติดด้วยวิชากระบี่บุปผาร้อยนภา
ท่วงท่าของนางสวยงามดั่งดอกไม้ ต่อเนื่องตามติดดั่งสายน้ำไหลเชี่ยว
ในขณะที่อีกฝ่ายต่อสู้โดยอาศัยวิชาดาบภูผาหมอก
เนื่องจากต้องเน้นรุกมากกว่ารับ วิชานี้เหมาะสำหรับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงทำให้เรี่ยวแรงถดถอยถ้าสู้เป็นเวลานาน
ดังนั้นเมื่อเสี่ยวเตี้ยนสู้ในกระบวนที่ห้าจนถึงเจ็ดกำลังพลันถดถอย หลินซิงเยียนใช้กระบี่บุปผาทะลวงเข้าปัดดาบภูผาหมอกจนกระเด็นจ่อเข้าที่ลำคออีกฝ่ายได้ ถือเป็นการยุติการต่อสู้
หลินซิงเยียนจึงสามารถผ่านด่านประลองได้ง่ายดายและเข้ามาถึงด่านสุดท้ายในที่สุด เพราะเคยเข้าประลองแล้วหลายครั้ง กระทั่งหลับตายังทำได้ดี เพียงครึ่งชั่วยามก็สามารถขึ้นมาจึงถึงชั้นที่เก้าของหอคอยได้
หลินซิงเยียนมั่นใจเช่นนี้เพราะคลับคล้ายคลับคลาว่าโจวเฟิงเคยใช้วิธีชี้แนะผ่านการเดินหมากหลายครั้งมาก แน่นอนว่าเป้าหมายเชื่อมสัมพันธ์คงเป็นสำนักวิหคบุปผาของมารดากระมัง เช่นนี้ นางย่อมไม่ทำให้ผู้ใดต้องผิดหวัง
บนหอคอยสูงตระหง่านเหนือสุดของปราการ ตำแหน่งประธานพิธี
บุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาชุดขาวคล้ายเทพเซียนจำแลงยืนเพียงลำพังอย่างโดดเด่นอยู่ตรงนี้ เขามองสตรีผู้ชนะนิ่งๆ ซ่อนยิ้มในหน้า แววตาสุขุมคล้ายมีแววไหวระริกยากระงับยามทอดมองผู้ที่กำลังเดินขึ้นมาหาเขา
สตรีผู้ชนะคือหลินซิงเยียน
นางเดินอย่างผ่าเผยขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุดที่หอคอย หยุดยืนตรงหน้าโจวเฟิงพร้อมรอยยิ้มสดใส หัวเราะร่ากล่าว
“ข้ามาทวงสัญญาเจ้าค่ะ ไหนพิณกู่เจิงของข้าเล่า?”
โจวเฟิงส่ายหน้ายิ้มขัน ยากนักที่จะมีใครได้เห็นยิ้มนี้ แต่หลินซิงเยียนไม่เคยรู้อยู่ดี นางมองเพียงพิณที่ถูกมือใหญ่ยื่นส่งมาให้ตรงหน้า
เป็นกู่เจิงที่งดงามยิ่ง คล้ายมีมนต์ขลังฝังแน่นในนั้น นี่คือหนึ่งในพิณโบราณ ในตำนานบอกว่าเส้นสายเต็มไปด้วยพลังปราณดูดกลืนวิญญาณ สามารถจัดการศัตรูได้สิบทิศ ท่านปรมาจารย์เซียนจวินซ่างผู้ล่วงลับเคยใช้ฆ่าคนชั่วมานับไม่ถ้วนด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำแต่เยือกเย็นจากการดีดแค่ไม่กี่ครั้ง
โอว! ช่างล้ำค่า...
หลินซิงเยียนรับมาถือไว้อย่างตื่นเต้นหาใดเปรียบ
รอยยิ้มลุ่มลึกประดับบนใบหน้างามสง่าของโจวเฟิง เขามองนางตรงหน้านิ่งๆ ชื่นชมจากใจ
“สำนักวิหคบุปผาไม่ทำให้สำนักข้าต้องผิดหวังจริงๆ ต่อไปเมื่อสองสำนักเชื่อมสัมพันธ์กันย่อมนำพาความยิ่งใหญ่ไร้ผู้ใดต่อกร นับเป็นที่หวั่นเกรงของใต้หล้าแล้ว”
“แน่นอน” หลินซิงเยียนแย้มยิ้มมั่นใจ “เอาล่ะ สหายผู้พี่ ต่อไปท่านจะตามใจข้าทุกอย่างถูกหรือไม่?”
“ย่อมใช่”
ต่อไปเจ้าคือภรรยา จะไม่ตามใจได้อย่างไร?
โจวเฟิงคิดในใจอย่างอารมณ์ดี ซ่อนไมตรีลึกล้ำไว้เพื่อเปิดเผยอย่างสง่างามในวันหน้า
หลินซิงเยียนเองก็ยิ้มแย้มอารมณ์ดีขั้นสุด นางเดินเข้าหาโจวเฟิง เงยหน้าสบตา ไร้ซึ่งความนัยใดอยู่ในแววตา ยิ่งไม่เคยรู้ว่าใครคิดอย่างไร เพียงกล่าวคำอย่างฉะฉานว่า “ข้ารักท่านเหมือนพี่ชายแท้ๆ ดังนั้น สิ่งที่ข้าจะขอคือต่อไปนี้ฝากดูแลพี่สาวเพียงคนเดียวของข้าให้ดี ท่านมีคุณสมบัติมากพอที่ข้าจะขอมอบพี่สาวอันเป็นที่รักให้อยู่ด้วยชั่วชีวิต”
หญิงสาววางพิณลงแล้วประสานหมัดโค้งคารวะอย่างให้ความเคารพจากหัวใจ กล่าวจบก็อุ้มพิณขึ้นแนบอก โบกมือลา และจากไปอย่างร่าเริง
ทิ้งไว้เพียงบุรุษหนุ่มผู้อึ้งงัน กลายเป็นบื้อใบ้พริบตา
เบื้องล่างเสียงโห่ร้องยังคงดำเนินอยู่ พวกเขาแซ่ซ้องยินดีกับการเชื่อมสัมพันธ์กับสำนักพยัคฆ์เมฆากับวิหคบุปผา
การเกี่ยวดองเป็นเรื่องของสองสำนัก แน่นอนว่าเจ้าบ่าวคือโจวเฟิง ส่วนเจ้าสาวคงเป็นหลินซิงเยียนสินะ ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ รอบทิศจึงมีเสียงแสดงความยินดีระหว่างพวกเขา
บนหอคอย เมื่อครู่มีเพียงแค่สองคนหนึ่งคือโจวเฟิงและสองคือหลินซิงเยียนเท่านั้น ยังไม่มีใครรู้เรื่องที่คุยกัน
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้าสองมือไพล่หลัง ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นหยกสลักเช่นนั้นเนิ่นนาน
หัวใจของข้ารักผู้หญิงได้เพียงหนึ่งมิอาจแบ่งใจรักนางใดถึงสองคนในเวลาเดียวกัน...
ข่าวเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสำนักพยัคฆ์เมฆากับวิหคบุปผาเป็นที่รู้กันไม่กี่สำนักแต่กลับลือลั่นไปทั่วหล้า
สำนักน้อยใหญ่ในยุทธภพต่างให้ความชื่นชมยินดี ยกเว้นแต่สตรีนางหนึ่ง
เพล้ง!
ข้าวของและอัญมณีเครื่องประดับที่อยู่บนโต๊ะหยกล้วนถูกกวาดลงพื้นจนสิ้นด้วยเพลิงโทสะของสตรีชุดแดง
“หัวใจรักได้เพียงหนึ่งมิอาจแบ่งใจรักถึงสองคนรึ?” น้ำตานองหน้าหญิงสาว “ทั้งๆ ที่พูดแบบนั้นกับข้า แต่ตอนนี้คืออันใด? เพราะนังซิงเยียนใช่หรือไม่? ข้าไม่ยอม! ไม่ยอม!”
เสียงเพล้งๆ ดังต่อเนื่อง พื้นห้องเต็มไปด้วยสิ่งของแตกเกลื่อนกระจัดกระจาย
หงเยว่ยกมือปิดหน้าร้องไห้ฟูมฟาย ในห้วงภวังค์มีเพียงภาพของชายในดวงใจ
บุรุษชุดขาว เจ้าสำนักพยัคฆ์เมฆา นางหลงรักเขา เฝ้าเอาใจนานนับปี จนมีราตรีน้ำผึ้งด้วยกัน จุมพิตอ้อยอิ่งแสนหวานในคืนนั้นยังติดตรึงมิเสื่อมคลาย ทว่ากับคล้ายเพียงฝันไป เมื่อเขาต้องแต่งงานและรักเพียงภรรยาที่เหมาะสมคู่ควรเท่านั้น!
หงเยว่รู้สึกแตกสลายไม่เหลือดีจากข่าวการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างพยัคฆ์เมฆากับวิหคบุปผา
นังสตรีชั่วช้าซิงเยียน! กล้าแย่งชิงบุรุษของข้า!
หน้าด้านไร้ยางอาย วิชายุทธเก่งกว่าข้าแล้วอย่างไร? ข้าเกลียดเจ้า! เกลียด! เกลียด!
หงเยว่ร่ำไห้ปานขาดใจเริ่มไร้สติสัมปชัญญะทุกขณะ หางตาพลันเหลือเห็นเสาหินรับคานกลางห้องนอนส่วนตัว สาวน้อยพุ่งตัวใส่อย่างเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป