ตอนที่ 3 หมดความมั่นใจ1
สำนักวิหคบุปผาตั้งตระหง่านบนยอดเขาไป๋ซานทิศตะวันออกของแดนเหนือต้าซาน
อากาศโดยรอบเย็นเยียบชวนเหน็บหนาวถึงกระดูก ทว่าภายในห้องกลับอบอุ่นและผ่อนคลาย สบายอกสบายใจ
หลินเล่อเจินค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่งหลังจากลืมตาและเริ่มได้สติแจ่มชัดขึ้นมา
หลังจากดื่มชานางก็หลับไป
จากนั้นก็ถูกซิงเยียนผู้เป็นน้องสาวเอาตัวมาไว้ที่นี่ ด้วยวิธีลักพาตัวมา!
เมื่อระลึกได้ หลินเล่อเจินจึงยกมือขึ้นคลึงขมับอย่างกลัดกลุ้ม น้องสาวผู้นี้ซุกซนยิ่ง เฮ้อ!
“เจินเอ๋อร์อย่าโกรธน้องเลย เจ้าไม่ยอมรับปากว่าจะมาอยู่กับแม่ น้องถึงได้ลงมือเช่นนี้อย่างไรเล่า”
เสียงนั้นดังมาจากทางประตูหน้าห้อง
หลินเล่อเจินเงยหน้ามองจึงได้เห็นเจ้าของเสียงคือสตรีรูปลักษณ์งดงามโฉบเฉี่ยวผู้หนึ่ง
อีกฝ่ายสวมชุดสีแดง ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียว ค่อยๆ เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มดุจจันทร์ฉาย ทั้งนุ่มนวลและร้อนแรงแสบตาประหนึ่งบุปผารัตติกาลในคืนวสันต์ร้อนระอุ
เสน่หาอันยวนตาพาใจถวิลหานี้แน่นอนว่าย่อมมอบให้ลูกๆ คนละครึ่ง และแน่นอนว่าในส่วนที่นุ่มนวลอ่อนโยนล้วนมอบให้บุตรีคนโตจนสิ้น
หลินเล่อเจินเบิกตายิ้มกว้าง
“ท่านแม่!”
กัวรั่วหลานนั่งลงบนเตียงนอน รั้งร่างบุตรสาวมากอดแนบอก ลูบแผ่นหลังบางเบาๆ “หยุดแบกปัญหาเอาไว้กับตัวเถิด เจ้าน่ะอ่อนหวานบอบบางเกินกว่าจะเอาทั้งชีวิตไปจมปลักเพื่อต้านทานลมฝนให้สกุลหลิน เชื่อแม่เถิดนะ เจ้าหยุดรับทุกความผิดเอาไว้กับตัวเสียที ตัดทุกคนออกไป โดยเฉพาะคู่หมั้นของเจ้าผู้นั้น”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลินเล่อเจินที่กำลังอมยิ้มพริ้มตาซุกอ้อมอกมารดาซึมซับความอบอุ่นพลันเบิกตาตื่นตะลึงขึ้นมา
“ท่านแม่ ท่านรู้หรือเจ้าคะ?”
กัวรั่วหลานพยักหน้า “เยียนเอ๋อร์เล่าให้ฟังหมดแล้ว เจ้าต้องตัดคู่หมั้นออกไปจากชีวิต ส่วนเรื่องต่างๆ หลังจากนี้ เจ้าแค่เชื่อมือน้องสาวก็พอ ตกลงหรือไม่?”
“ท่านแม่ไม่ชอบคู่หมั้นของข้าหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่เขาตึงมือเจ้าเกินไปต่างหาก คนแบบนั้นต้องเจอกับเยียนเอ๋อร์ถึงจะถูก”
“จะดีหรือเจ้าคะ?”
“ดีสิ เอาตามนั้นแหละ เชื่อฟังแม่นะ”
หลินเล่อเจินยู่หน้าซุกซบมารดาอย่างออดอ้อน
“ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าเชื่อท่านแม่...”
เรื่องราวของหลินเล่อเจินแท้จริงมิได้ซับซ้อนอะไร ครอบครัวที่ได้เกี่ยวดองหมั้นหมายก็นับว่าดีเลิศ ฟื้นฟูค้ำจุนสกุลหลินได้ตลอดไป คู่หมั้นยังเป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของใต้เท้าลู่ ผู้เป็นถึงเสนาบดีกรมคลัง
ลู่อี้นับเป็นขุนนางตงฉิน ครอบครัวสามัคคีปรองดอง สกุลลู่เองก็ไม่เคยถือว่าตนมีอำนาจพรั่งพร้อมด้วยยศศักดิ์มาร้อยปีอันใด คุณงามความชอบมากล้นจนได้เลื่อนขั้นแค่ไหน ยังคงยอมรับสตรีมาเป็นสะใภ้เพียงเงื่อนไขไม่กี่ข้อ นั่นก็คือนิสัยดี เที่ยงธรรม ดูแลเรือนหลังได้ ฐานะสูงต่ำล้วนไม่สำคัญ
แน่นอนว่าด้วยรูปลักษณ์ นิสัยใจคอของหลินเล่อเจิน ล้วนเข้าตาพวกท่านอย่างยิ่ง
ตัวคู่หมั้นของหลินเล่อเจินเองก็ถือว่าเป็นบุรุษที่ดี สุภาพเรียบร้อย อบอุ่นอ่อนโยน สง่าผ่าเผย ไม่เย่อหยิ่งถือตัว นับเป็นคนหนุ่มที่น่าคบหาคนหนึ่ง นามว่าลู่อวิ้น
ตั้งแต่หมั้นหมาย หลินเล่อเจินกับลู่อวิ้นก็มีไมตรีที่ดีให้แก่กันเสมอมา มักไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันถึงความสัมพันธ์อันงดงาม มั่นคงยากสั่นคลอน
ตัวลู่อวิ้นเองก็รักถนอมและให้เกียรติหลินเล่อเจินเป็นอย่างดี
แม้แต่มือยังไม่เคยผลีผลามทำรุ่มร่ามหรือแตะต้อง ได้แต่มองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ดวงตาเผยแต่ความหวังดี
ท่าทีที่แสดงออกเช่นนั้น ล้วนบอกได้ว่าเขาชมชอบหลินเล่อเจินมาก รักใคร่นางอย่างลึกซึ้งด้วยใจจริง
เพียงหลินเล่อเจินที่เหมาะสมเป็นภรรยาของเขา คู่ควรให้ยกย่องเชิดชูทะนุถนอมตลอดไป
กระทั่งวันหนึ่ง หลินซิงเยียนไปเที่ยวเมืองหลวง บังเอิญเจอว่าที่พี่เขย จึงลอบติดตามอย่างนึกสนุกตามวิสัย คิดเพียงอยากทำให้ตกใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเพิ่งส่งพี่สาวถึงจวนกับมือแท้ๆ หากนางมาโผล่ตรงหน้า ว่าที่พี่เขยคงสงสัยว่าเหตุใดพี่สาวถึงมาอยู่ตรงนี้อีกได้อย่างไร แค่คิดก็สนุกแล้ว
ทว่าท้ายที่สุด กลับเป็นหลินซิงเยียนเองที่ต้องตะลึงอย่างคาดไม่ถึง เมื่อแอบตามจนได้รู้ว่าลู่อวิ้นแอบเลี้ยงดูสตรีไว้นอกเรือนคนหนึ่ง สตรีผู้นั้นเรียบร้อยอ่อนหวานและงดงามหยาดเยิ้มยิ่งกว่าสตรีทุกคนที่นางเคยเห็นมาเสียอีก
หลินซิงเยียนแอบเฝ้าแอบมองว่าที่พี่เขยอยู่ทั้งคืน อีกฝ่ายก็ยังไม่ออกจากประตูเรือนของหญิงผู้นั้น เพียงเรียกเด็กรับใช้ยกอ่างน้ำกับผ้ามาให้ไม่ต่ำกว่าสี่ห้ารอบ
ไม่บอกก็รู้ว่าชายหญิงในห้องหับกำลังทำอันใดกัน แน่ชัดว่าลู่อวิ้นลุ่มหลงสตรีคนนี้ปานใด รักใคร่แค่ไหน
หลินซิงเยียนยังจำได้ พี่สาวเคยเล่าให้ฟังว่าลู่อวิ้นผู้นี้บอกรักพี่สาว รักมาก รักจากใจ จะดีกับพี่สาวแค่คนเดียว
โกหกสินะ!
คืนนั้น หลินซิงเยียนมีความคิดว่าจะพุ่งตัวเข้าไป จับกระชากชายหญิงบนเตียงแยกออกจากกันให้รู้แล้วรู้รอด
เพียงแต่นางติดขัดตรงที่บุรุษผู้นี้มิใช่คู่หมั้นของตน จึงต้องวิ่งแจ้นกลับไปขออนุญาตพี่สาวก่อน
ขอแค่พี่สาวพยักหน้า นางจะพังเรือนลับของพี่เขยให้พี่สาวด้วยมือของนางเอง จากนั้นก็ถอนหมั้น แล้วเฟ้นหาผู้ชายใหม่ เอาคนที่เราชอบพอพึงใจและพิสูจน์แล้วว่าดีจริง มิใช่ใครก็ได้แบบนี้
ทว่าหลินซิงเยียนกลับต้องจนใจกับคำพูดของพี่สาว
“จากประสบการณ์ของท่านพ่อท่านแม่ หากเราเลือกสามีที่พึงใจ ได้คู่ครองกับบุรุษที่รักใคร่จากใจจริง ยามผิดหวังย่อมเจ็บช้ำน้ำใจแสนสาหัส อาจถึงขั้นคิดไม่ตกจนฆ่าตัวตายก็เป็นได้ เช่นนั้น การแต่งงานที่ผู้อาวุโสเลือกให้ ย่อมดีที่สุด นอกจากธรรมเนียมปฏิบัติแต่โบราณแล้ว อย่างน้อย เราจะได้ไม่คาดหวังมากเกินไป แค่แต่ง ๆ ไป ไม่ต้องรัก อยู่ ๆ ด้วยกันไปตามหน้าที่ก็พอ เพราะรักแท้ไม่มีอยู่จริง ยิ่งไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสจับต้องได้ เพื่อสกุลหลิน ความมั่งคั่งอันมั่นคงที่ยั่งยืนต่างหากถึงควรยึดถือไว้ให้มั่น เจ้าอย่าได้ห่วง พี่ไม่เป็นไร”
พูดง่ายๆ ก็คือ หลินเล่อเจินไม่สนว่าจะต้องแต่งงานกับบุรุษแบบใด ได้สามีแบบไหน ต้องคลอดลูกให้ใคร นางคิดว่าแค่ไม่สุขก็ไม่ทุกข์ สกุลหลินมั่นคงก็พอแล้ว
หลินซิงเยียนแม้เข้าใจดีแต่กลับไม่อาจทำใจได้ นางรักพี่สาวมาก จึงรู้สึกปวดใจเหลือเกิน
เป็นแค่ดอกไม้ราตรีบอบบางแท้ๆ แต่แสร้งทำเป็นดอกไม้น้ำแข็ง
ไร้รักย่อมไม่เจ็บหรือ? แล้วหากผูกพันกันขึ้นมาเล่า?
เมื่อถูกความแสบร้อนของขอบตากัดกร่อนทรวงอกจนหัวเราะไม่ออกร้องไห้มิได้เช่นนี้ วิธีเดียวคือควบม้าวิ่งโร่กลับสำนักวิหคบุปผา ร้องไห้ฟ้องมารดาทั้งน้ำตานองหน้า
เมื่อกัวรั่วหลานได้ฟังก็เกิดอาการเดียวกันคือเข้าใจดี แต่ไม่อาจทำใจได้เช่นกัน
หลินเล่อเจินเป็นผู้หญิงที่ดีเกินไป นางไม่ควรต้องแต่งงานกับใครก็ตามที่บังอาจหยามน้ำใจเยี่ยงนั้น
สองแม่ลูกจึงช่วยกันเฟ้นหาบุรุษที่ดีเลิศยิ่งกว่าลู่อวิ้น จากนั้นหลินซิงเยียนก็ลักพาตัวหลินเล่อเจินมาที่นี่
ระหว่างที่พี่สาวมีมารดาคอยดูแล หลินซิงเยียนจึงไปจัดการส่วนที่เหลือยังจวนหลิน แน่นอนว่าหากไม่ลงมือถึงขั้นลักพาตัวกันขนาดนี้ย่อมไม่ได้ผล สตรีเช่นหลินเล่อเจินย่อมแบกหม้อก้นดำ[1]ไปตลอด ไม่ยอมปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระ
[1]แบกหม้อก้นดำ เป็นสำนวนหมายถึง แบกรับความผิดแทนคนอื่น