ข้ามุ่งมั่น
“เจ้าไม่ทำก็มีเพียง ..เจี้ยนหลิงเท่านั้นที่จะทำเรื่องนี้ เจี้ยนหลิงนางเป็นหนึ่งมาตลอด อีกทั้งในตระกูลหลินใครบ้างจะไม่ยอมลงให้เจี้ยนหลิง ข้าเองยังต้องอาศัยลูกคนนี้ในการวางกลยุทธ์การรบ ดีเช่นนั้นข้าก็ไม่หวงห้ามนางจะทำอะไรก็ตามใจเพียงแต่จะคอยดูว่านางจะพลิกสถานการณ์มาได้เปรียบได้หรือไม่”
“ตบปากนางร้อยที โบยนางร้อยไม้”เสียงตวาดลั่นจากปากของ
หลินเจี้ยนหลิงที่เพียงแค่ได้ยินเสียงซุบซิบ ว่าคุณหนูใหญ่ ต้องการจะเป็นไท่จือเฟย แย่งชิงแม้กระทั่งโชควาสนาของคุณหนูรอง สาวใช้ต่างหดหัวหนีหายใครบ้างจะกล้ากับคุณหนูใหญ่ เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่ไม่เคยเกรงกลัวใครนอกจาก ฮูหยินกับใต้เท้าหลิน
“นางขาดใจตายแล้วคุณหนู”
เจี้ยนหลิง ใช้มีดปอกลูกท้อยัดใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ได้สนใจคำบอกกล่าวนั้นแม้แต่น้อย โยนมีดสั้นให้ปักลงบนโต๊ะ สาวใช้สะดุ้งรีบคุกเข่า
"รออะไรหรือว่ารอจะเห็นสีหน้าสำนึกผิดของข้าบอกไว้ก่อน ไม่มีใครจะได้เห็นมัน”
“เจี้ยนหลินฝ่าบาทให้เจ้ากับเสี่ยวหลินประลองฝีมือกัน เพื่อตำแหน่งไท่จือเฟย”
“ลูกเข้าใจแล้ว”ใต้เท้าหลิน ส่ายหน้าจากไป
วันประลอง
“คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยเตรียมกระบี่เนื้อดี คมที่สุดไว้ให้แล้ว”
หยางเพ่ยตง รองแม่ทัพเพ่ยตงส่งกระบี่ในมือให้กับเจี้ยนหลิงอย่างนอบน้อม แม้ท่าทีองอาจของเขาจะไม่เหมาะแก่การนอบน้อมก็ตาม แต่หากเป็นคนอื่นก็คงไม่ได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของเขามีเพียงเจี้ยนหลิงที่ได้เห็นมัน
“เพ่ยตงข้าควรออมมือหรือไม่”
“คุณหนูคุณหนูรู้ดีข้อนี้ ข้าน้อยไม่ควรออกความเห็น”
“ดี ..ไปกันเถอะ”
“พี่สาว”
เพ่ยตงถอยหลังไปยืนห่างๆ เมื่อ เสี่ยวหลินก้าวขาเข้ามาขวางหน้าไว้
“ท่าน ..กับข้า เราจะต้องประลองกันจริงๆ หรือ”
น้ำเสียงหวานปนเศร้า เพ่ยตงเบือนหน้าหนีเสีย เจี้ยนหลิงยิ้มบางๆ
“เสี่ยวหลินเจ้าเป็นน้องสาวของข้า อย่างไรก็ไม่อาจเป็นอื่น เราสองคนยังเป็นพี่น้องกัน ไปกันเถอะทุกอย่างจะได้จบลงเสียที”ตัดสินใจแน่วแน่
“เดี๋ยว” ฮูหยินใหญ่ส่งเสียงมาแต่ไกล เสี่ยวหลินย่อกาย ก้าวเดินสวนทางกับฮูหยินใหญ่ด้วยความเกรงขาม
“ท่านแม่”
เจี้ยนหลิงประสานมือพร้อมกับกระบี่ในมือท่าทีไม่ต่างจากบุรุษ
“คงรู้ดีว่าจะต้องชนะการประลองเท่านั้น แม่คาดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก เจี้ยนหลิง ตำแหน่งไท่จือเฟยจะต้องเป็นของเจ้าเท่านั้น”
เพ่ยตง หลุบตามองพื้นเหมือนกับเป็นความผิดของเขา
“ไปได้แล้วอย่าให้ข้าต้องขายหน้า”เจี้ยนหลิงประสานมือ ก้าวเดินด้วยทีที่มั่นใจอย่างที่สุด
วังหลวง ณ.ลานประลอง
“การประลองเริ่มได้ ด่านแรกเป็นการงานฝีมือเป็นอันดับแรก”
หลินเจี้ยนหลิง ยังกอดกระบี่ไว้เช่นเดิมไม่ได้เร่งรีบอะไร ต่างกับเสี่ยวหลินที่หยิบเอาเข็มและผ้าขึ้นมานั่งบนโต๊ะ เตรียมพร้อมในทันทีเพ่ยตงกอดอกมองเจี้ยนหลิงนิ่ง
“ต่อไปเป็นการประลองการปักลวดลายบนผืนผ้า อาศัยความงดงามและความหมายที่เป็นมงคล ของคำว่ามังกรครองฟ้า หงสาร่ายรำ ...อีกทั้งยังต้องอาศัยความรวดเร็วในการปัก ลวดลายในการปักที่มีเวลาให้แค่เพียงสองชั่วยาม" เจี้ยนหลิงยกผ้าในพับขึ้นมาบนโต๊ะ นั่งลงบนเก้าอี้ตั้งหน้าตั้งตาปักลวดลายด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งท่าทีมิได้มีความเรียบร้อยอ่อนหวานเหมือนเสี่ยวหลินที่แทบจะกลายเป็นท่วงท่าร่ายรำก็ว่าได้ ผ่านไปถึงสองชั่วยามเหล่าขุนนางล้วนต่างเปิดปากหาว เพ่ยตงยังยืนนิ่งมองเจี้ยนหลินเช่นเดิม
"หมดเวลาแล้ว นำงานปักของพวกนางมาให้ฝ่าบาทตัดสิน"
ขุนนางต่างฮือฮารอชมการตัดสิน งานปักของทั้งสองคนถูกนำมาวางตรงหน้าฮ่องเต้ ลวดลายบนผ้าสีน้ำเงินสีประจำตัวของไท่จือ เสี่ยวหลินปักมันอย่างอ่อนช้อยเหมือนดังมีชีวิตเป็นรูปมังกรที่ เหยียบบนหลังหงส์ เปรียบเหมือนความยิ่งใหญ่ของมังกร แม้หงส์จะอยู่ต่ำลงมาแต่หงส์กับดูงดงามและโดดเด่นกว่ามังกร ฮ่องเต้มองลวดลายบนผ้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็ไม่อาจแสดงท่าทีได้มากกว่าการนิ่งเฉยเสีย
ผ้าปักของเจี้ยนหลิงเป็นรูปมังกรกอดรัดพันเกลียวกับหงส์ฟ้า ไม่ได้สูงต่ำหรือใช้สีสันด้อยไปกว่ากันมองเพียงผิวเผินงดงามน่าค้นหา แต่เมื่อมองอย่างตั้งใจจึงรู้ว่า ลวดลายบนผ้าพยายามชี้ให้เห็นว่า หงส์ความจริงนั้นพยายามเกื้อหนุนมังกรอยู่
"สมกับเป็นบุตรีของใต้เท้าหลินเสียจริง เห็นได้ชัดว่าลวดลายในผ้าสวยงามอีกทั้งยังมีความหมายเหมาะสม"
ฮ่องเต้เอ่ยออกมากับขันทีข้างกาย