หากเธอตบฉันก็จะจูบ (60%)
เมื่ออารมณ์เตลิดไปกับความหอมหวานยวนใจ มือใหญ่ก็เริ่มไต่ขึ้นไปบนฐานอก เลื่อนไปกอบกุมเนินเนื้อนิ่มภายใต้เสื้อแสนเชย มณีญาทะลึ่งพรวดเหมือนโดนไฟช็อต ทุบตีแผ่นอกกว้างพัลวัน จนเขาต้องใช้มือที่ว่างรวบมือที่กำลังประทุษร้ายตน ส่วนปากก็ครอบครองเรียวปากหวานอย่างดิบเถื่อน จูบดุเดือดจนเกือบเป็นบ้าคลั่งเหมือนตายอดตายอยากมาแรมปี ผ่านไปหลายนาทีจนรับรู้ได้ว่าเธอหายใจขาดเป็นห้วง จึงยอมถอนริมฝีปากร้อนผ่าวออกมาจากปากบวมเจ่อเพราะฤทธิ์จูบเผ็ดร้อน
แต่เพียงไม่นาน เจ้าของใบหน้าเขียวครึ้มไปด้วยหนวดเคราก็ยื่นหน้าไปชิดริมฝีปากที่กำลังเผยอหอบน้อยๆ แล้วรั้งลำคอระหงเข้ามาหาตนอีกครั้ง เสียงประท้วงอู้อี้อยู่ในลำคอเพราะยังไม่หายมึนเมากับรสจูบมาราธอนเมื่อสักครู่ แต่สักพักเสียงขัดหูนั่นก็ขาดหายไปเมื่อเขาบดเคล้าหนักหน่วงที่กลีบปากอิ่มอีกครั้ง บรรจงดูดชิมเอาความหวานจากเรียวปากสีกุหลาบราวอดอยาก
“คนฉวยโอกาส!” เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ มณีญาก็บริภาษมหาโจรปล้นจูบเสียงลอดไรฟัน พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดรอยประทับริมฝีปากอย่างนึกรังเกียจ
ฉาด!!!
ใบหน้าคมหันไปตามแรงตบที่ไม่เบานัก คนโดนตบค่อยๆ หันกลับมา กัดฟันดังกรอด มองเธอด้วยสายตาวาวโรจน์ ยัยเชยปากดีเป็นผู้หญิงคนแรกที่กล้าตบหน้าเขา ดังนั้นเขาจะต้องลงโทษเธอให้สาสม แสยะยิ้มเหี้ยมให้เจ้าของลูกตบพิฆาต
“หึๆ…ชอบความรุนแรงก็ไม่บอก จะได้จัดให้ตั้งแต่แรก” เสียงหัวเราะของเขามันสามารถเขย่าเซลล์ประสาทของเธอได้อย่างมหาศาล ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว พยายามหาทางลงจากตักกว้างแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว มือหนากระชากเอวคอดเข้าเบียดกายแกร่งจนแนบแน่นไปทุกอณูเนื้อ
แล้วคนเดือดจัดก็กระแทกปากร้อนประกบเรียวปากจัดจ้าน ตะโบมจุมพิตดุดัน เร่าร้อนและรุนแรง ฝ่ามือน้อยทุบตีอกกว้างและไหล่ทรงพลังไม่ยั้ง นานเข้ามณีญาก็หลงมัวเมาไปกับความมากประสบการณ์ของเขา จากต่อต้านกลายเป็นโอนอ่อน เลื่อนมือเรียวไปกดรั้งต้นคอหนาให้ปากทั้งคู่แนบชิดกันมากขึ้น ก่อนจะเผลอยื่นลิ้นไปแตะกับปลายลิ้นร้อน สนองตอบจุมพิตดุดันอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ เจ้าของร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างในคราบมหาโจรครางกระหึ่มในลำคอ ถูกใจกับการตอบสนองที่ไม่ประสาเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าคนในวงแขนชักจะเคลิบเคลิ้ม ฝ่ามือสากก็ค่อยๆ เลื่อนเข้าไปในชายเสื้อ กอบกุมทรวงอกเต็มตึง แล้วเคล้นคลึงเน้นหนัก เมื่อโดนรุกพื้นที่ส่วนตัวสติที่ขาดหายไปเมื่อสักครู่ก็กลับมา มณีญาผลักอกแกร่งดั่งหินผาออกเต็มแรงจนหลุดพ้นจากการปล้นจูบ ร่างบางหอบหายใจตัวโยน รีบสูดอากาศเข้าปอดจนหน้าดำหน้าแดง มองคนที่กำลังหายใจร้อนผ่าวรินรดหน้างามตาดุวับ
“เป็นไงชอบไหมแรงๆ แบบนี้ ถ้าอยากได้อีกก็บอกนะจะได้สงเคราะห์ให้ คราวนี้จะเอาให้เห็นสวรรค์รำไรเลยล่ะแม่คุณเอ๋ย” เสียงห้าวกระซิบยียวนชิดกลีบปากชอกช้ำเพราะน้ำมือตัวเอง มณีญาฉุนสุดใจขาดดิ้น ซัดฝ่ามือลงบนใบหน้าคร้ามคมอย่างไม่ยั้งมือ
เผียะ!!!
“นี่สำหรับที่นายบังอาจเอาปากสกปรกมาจูบฉัน” วาจากราดเกรี้ยว มองชายหนุ่มด้วยดวงตาวาวโรจน์ อยากจะกระแทกหมัดใส่หน้ากวนๆ นั่นนัก กล้าดียังไงถึงได้มาจูบเธอ
“และนี่สำหรับที่นายบังอาจมาถูกเนื้อต้องตัวฉัน” กำลังจะฟาดมือเรียวลงไปบนใบหน้าคมอีกหน แต่คราวนี้เขาไวกว่าคว้าข้อมือบางไว้ แล้วบิดจนเธอทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ
“ถ้าคุณตบผมอีก ผมจะจับกดคุณตรงนี้แหละ ไม่เชื่อก็ลองดู” ขู่เสียงลอดไรฟัน ใช้สายตาหยาบโลนมองจาบจ้วงไปทั่วทั้งตัวอย่างไม่เกรงใจ สื่อความหมายว่าคนกักขฬะอย่างเขาจะทำอย่างที่พูดจริงๆ หากเธอยังกล้าทำเก่งใส่เขาอยู่ คำที่หลุดออกมาจากปากโสมมทำเอามณีญานิ่งอึ้งไปพักใหญ่
ถึงแม้ผู้ชายตรงหน้าจะมองเธอผ่านเลนส์แว่น แต่มณีญาก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เรือนกายบอบบางสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ไหว แกะมือเขาออกจากเอวคอด แล้วขยับกายลงจากตักกว้าง ที่สุดก็ลงมายืนด้วยขาสั่นระริกของตัวเองได้สำเร็จ เห็นเขาตั้งท่าจะรุกรานตนอีกก็แหวลั่น
“ไอ้บ้า อย่านะ นายไม่อายแต่ฉันอาย เพราะฉันไม่ได้หน้าด้านหน้าทนเหมือนนาย” รีบละล่ำละลักห้ามปรามเสียงสั่นระริก
“ผมไม่อายหรอก ถ้าได้ทำอะไรแบบนั้นกับยัยเชยอย่างคุณ มันคงได้รสชาติไปอีกแบบ ลองของแปลกจะเป็นไรไป จริงไหมคุณเชย” กระซิบเสียงพร่าข้างหูน้อยยั่วให้เธอของขึ้นหนักเข้าไปอีก
“เลวทราม จิตใจสกปรก คิดแต่เรื่องต่ำๆ” เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด่าทอเขาอย่างเหลืออด อยากจะตบหน้ากวนๆ นั่นอีกสักฉาด แต่ก็กลัวว่าเขาจะลงโทษเธอเหมือนที่ได้ข่มขู่เอาไว้
“พูดไม่เพราะแบบนี้ อยากโดนสั่งสอนแบบเมื่อกี้อีกหรือไงยัยเชย” ทำเสียงฮึมฮัมในลำคอด้วยความไม่พอใจ ยิ่งนานเข้าเธอก็ยิ่งชักจะเอาใหญ่
“นายไม่จำเป็นต้องมาสั่งสอนฉันหรอก เพราะพ่อแม่ฉันสอนมาดี ว่าแต่นายเถอะ ตั้งแต่เกิดมาพ่อแม่เคยสอนบ้างหรือเปล่า ถึงได้กล้ามาทำกริยาต่ำๆ แบบนี้กับผู้หญิง” เมื่อหลุดจากพันธนาการมณีญาก็เกิดความเหิมเกริม โต้กลับด้วยวาจาเจ็บแสบให้คนฟังได้เลือดขึ้นหน้า
“มันจะมากไปแล้วนะ!” กรามแกร่งบนใบหน้าคร้ามคมบดเข้าหากันแน่น ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟันว่าเธอด้วยความโมโหสุดขีด
“ทำไม นายจะทำอะไรฉัน ถ้านายทำอะไรฉันฉันจะกรี๊ดให้ลั่นเครื่องบินเลย ไม่เชื่อก็ลองดู” เลิกคิ้วขึ้นลอยหน้าลอยตาถามไถ่ด้วยท่าทางใสซื่อ ยิ้มยั่วพร้อมทั้งท้าทายเขาอย่างไม่หวั่นเกรง
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?” แอร์โฮสเตสสาวสวยคนที่เดินมาส่งมณีญาถึงที่นั่ง รีบเข้ามาถามไถ่เมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนลูกค้าท่านอื่น
“ไม่มีหรอกครับ แฟนผมเขาก็แค่อารมณ์ค้าง” ยักคิ้วให้แอร์สาวด้วยท่าทางขี้เล่น จนหล่อนอายม้วนใบหน้างามแดงระเรื่อ เพราะเมื่อกี้เผลอเห็นบทจูบอันดุเดือดของสองหนุ่มสาว จึงคิดว่าทั้งสองคนคงจะเป็นแฟนกันจริงๆ
“พูดให้มันดีๆ นะใครเป็นแฟนนายไม่ทราบ” มณีญาอ้าปากแหวลั่น แก้มเนียนใสแดงก่ำด้วยความเขินอาย อยากจะกรีดร้องออกมาให้เขาแก้วหูแตกนัก
“โธ่…ที่รัก อย่างอนไปเลยนะจ๊ะฮันนี่ หากคุณทนไม่ไหว งั้นเราไปต่อกันในห้องน้ำดีไหมทูนหัว” เขายังทำเนียนด้วยการแสดงออกว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ตามที่ได้บอกพนักงานสาวคนสวย ท้ายประโยคไม่วายทำให้เธอทั้งอายทั้งโกรธหนักเข้าไปอีก
“โว้ย! ไอ้ฝรั่งบ้านี่! นายจะกวนโมโหฉันไปถึงไหนกันห๊ะ” มณีญาโวยลั่น กระชากคอเสื้อคนกวนประสาท ง้างหมัดเตรียมประเคนใส่หน้ากวนอารมณ์ แต่ก็ต้องปล่อยมือแล้วรีบถอยห่างออกมา เมื่อเห็นชายหนุ่มมองเธอด้วยสายตาเอาเรื่อง รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกำยำจนเธอรู้สึกได้
“หากคุณยังไม่เลิกโวยวายทำปากดี ผมก็จะกวนคุณไปจนถึงฝรั่งเศสนั่นแหละทูนหัว” มองหญิงสาวยิ้มๆ ก่อนจะตอบคำถามด้วยท่าทางสนุกสนาน นี่เขาคิดว่าเธอเป็นตัวตลกประจำคาเฟ่ หรือเป็นของเล่นคลายเครียดระหว่างเดินทางหรืออย่างไรกัน ถึงได้ขยันยั่วแหย่เธอดีนัก
อารมณ์อยากไปเข้าห้องน้ำเมื่อครู่หดหายไปจนหมดสิ้น มณีญาจึงกระแทกก้นนั่งลงในที่นั่งของตน ก่อนจะสะบัดหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
“อ้าว…ไม่ไปเข้าห้องน้ำแล้วเหรอคุณ” เห็นเธอนั่งลงด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด ปากหยักก็แย้มยิ้มอย่างขันๆ ก่อนจะส่งเสียงตามไปตอแยอีกครั้ง
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน ฉันจะไปไม่ไปมันหนักหัวนายมากนักหรือยังไง” คนอารมณ์บูดตวัดหางตากลับมามองหน้าคม สะบัดเสียงใส่อย่างขุ่นเคือง แล้วหันใบหน้าบูดบึ้งกลับไปทางเดิม ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าเธอไม่ต้องการจะเสวนาพาทีกับเขาอีก ไม่ว่าจะกรณีใดๆ
“ผมก็แค่หวังดี กลัวคุณจะทำเลอะเทอะเหมือนเด็กสามขวบ” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นข้างหู ก่อนจะเอ่ยกับเธอด้วยท่าทางอารมณ์ดี แสร้งทำเป็นห่วงเป็นใย แต่ที่จริงคนร้ายกาจอย่างเขา อยากจะกวนประสาทเธอให้สติแตกมากขึ้นไปอีกต่างหากล่ะ
“หุบปากไปเลยนะ ฉันจะเป็นยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับนาย” หันขวับกลับมาโต้ตอบอย่างยั้งใจไม่ไหว เขายั่วโมโหเธอจนขาดสติ ต้องพลั้งปากไปโต้คารมกับเขาอีกจนได้
“โอ๊ย…ฉันอยากจะบ้าตาย นี่มันสายการบินชั้นเฟิร์สคลาสหรือชั้นประหยัดกันแน่นะ ถึงได้ให้ไอ้หน้าโหดสติไม่เต็มเต็งมานั่งในนี้ได้ ให้ตายสิ นี่วันมันโลกาวินาสของเธอหรืออย่างไรกันมณีญา ฉันต้องไปทำบุญล้างซวยด้วยไหมนี่” บ่นอุบอย่างไม่สบอารมณ์สุดๆ
“หึๆ…” คนโดนแดกดันหัวเราะกลั้วอยู่ในลำคอ มณีญาจึงขึงตาใส่แล้วสะบัดหน้าพรืด หันออกไปมองนอกหน้าต่าง ทำเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนต่อไป
เมื่อลงจากเครื่องและได้กระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประจวบเหมาะกับที่บอดี้การ์ดเดินมาหาผู้เป็นนาย เขาก็รับเสื้อผ้าที่ลูกน้องเอามาให้ แล้วกดโทรศัพท์ไปหาคู่ขารายล่าสุดทันที
“ว่าไงคะที่รัก” ปลายสายเอ่ยถามเสียงอ่อนเสียงหวาน เมื่อหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏว่าใครโทรมาหล่อนก็แทบจะกรี๊ดออกมาดังๆ ด้วยความดีใจ แต่ก็ต้องพยายามรักษาภาพพจน์นางงามและมาดผู้ดีเอาไว้ เดี๋ยวชายที่หล่อนหมายตาจะมองไม่ดี
“เบลล่าผมเปลี่ยนใจแล้ว คุณมาเจอผมที่สนามบินเลยนะ” คนที่อารมณ์ค้างตั้งแต่อยู่บนเครื่องจำต้องบอกให้คู่ขามาหา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งบอกปฏิเสธการคะยั้นคะยอจากหล่อนไปหลัดๆ
“ได้เลยค่ะ นี่เบลล่าก็เพิ่งจะลงจากเครื่อง” รับคำเสียงหวานที่ดัดมาซะเต็มอัตรา ก่อนจะยิ้มด้วยความดีอกดีใจ หล่อนจะทำทุกวิถีทางให้เหยื่อของหล่อนไปไหนไม่รอด
“โอเค แล้วเจอกัน” ชายหนุ่มกล่าวเพียงสั้นๆ แล้วตัดสายทันที
“ฮึ…ไอ้หน้าหนวดจอมหื่น ลงเครื่องปุ๊บก็เรียกสาวมาสนองตัณหาปั๊บเลยนะ ขอให้ตายคาอกเข้าสักวัน” มณีญาได้ยินคำพูดทุกถ้อยคำของไอ้มหาโจรหื่นกาม จึงเบ้ปากด้วยความรังเกียจ และพูดจากระแนะกระแหน ก่อนจะเดินลอยหน้าจากไป
“หึๆ” ร่างสูงใหญ่ไม่คิดจะตอบโต้แม่สาวปากกล้า วันนี้เขาสนุกเพราะเธอมามากพอแล้ว จึงได้แต่หัวเราะไล่หลัง มองร่างบางที่สะบัดก้นจากไปด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
พอนางงามสาวมาถึงก็ปรี่เข้าไปสวมกอดชายหนุ่มอย่างไม่แคร์สายตาใคร แล้วเขาก็รีบฉุดร่างสวยเซ็กซี่มาที่ห้องน้ำหญิงภายในสนามบินทันที
“อ๊ะ…มาร์เวลขาใจเย็นสิคะ ตัวเบลล่าช้ำหมดแล้วค่ะ” หญิงสาวอุทานเสียงดังด้วยความเสียดเสียวอย่างรุนแรง แต่ยังทำเป็นแสร้งห้ามปรามอย่างมีมารยา ทั้งที่จริงแล้วออกจะชื่นชอบซะด้วยซ้ำที่ตนทำให้เขาฉุดรั้งอารมณ์ไม่อยู่ จนต้องชวนหล่อนมาเล่นจ้ำจี้ในห้องน้ำอันโอ่โถงแห่งนี้
“คุณชอบแบบแรงๆ ไม่ใช่เหรอเบลล่า” มองสบตาหญิงสาวอย่างหิวกระหาย ส่วนมือก็ยังเฝ้าเคล้นคลึงอกอวบด้วยความแรงไม่หยุดหย่อน
“มาร์เวลขา ช่วยเบลล่าด้วยค่ะ ไม่ไหวแล้วค่ะ” เมื่อทนความกระสันซ่านไม่ไหว นางงามสาวก็เอ่ยเว้าวอนชายหนุ่มเสียงกระเส่า ดวงตาปรือฉ่ำด้วยแรงปรารถนา
มาร์เวลอุ้มนางงามสาวไปวางบนฝาชักโครก ถลกกระโปรงสั้นจู๋ขึ้น หันมาสวมเครื่องป้องกันเร็วไว ก่อนจะกระแทกกายเข้าไปในเนินกุหลาบอย่างไม่เบานัก
“โอ้…เบลล่า” คนอารมณ์ค้างตั้งแต่บนเครื่องกระแทกกระทั้นกายแกร่งเข้าหาร่างเซ็กซี่ขยี้ใจอย่างไม่ลืมหูลืมตา ปากก็พร่ำเรียกคู่ขาสาวไม่ขาดสาย หากแต่ในหัวสมองกลับจินตนาการไปถึงใบหน้าของสาวเชยที่เขาเพิ่งปล้นจูบไปบนเครื่อง
“มาร์เวลขา เบลล่าใกล้แล้วค่ะ” เมื่อบทพิศวาสเดินทางมาใกล้ถึงจุดหมาย เบลล่าก็แอ่นกายรับการโหมกระหน่ำอย่างถึงใจ
ในขณะที่สองหนุ่มสาวกำลังมีความสุขกันอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่ในห้องน้ำ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มณีญาเดินมาเข้าห้องน้ำพอดี
“อูย…สวรรค์ อั้นมานานแล้ว” พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำห้องที่ว่างเร็วไว ปากก็ขมุบขมิบด่าทอชายหนุ่มด้วยความคั่งแค้นยังไม่หาย
“คอยดูนะ ถ้าฉันกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ฉันจะเผาพริกเผาเกลือไปให้นาย ไอ้หน้าหนวดหื่นกาม!” บ่นอย่างฉุนเฉียว แต่ยังไม่ทันจะขาดคำก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมากระทบหู
“เอ๊ะ…เสียงอะไร” เลิกคิ้วโก่งขึ้นด้วยความฉงน เสียงอืออาที่ดังมาจากห้องข้างๆ เหมือนเสียงคนกำลังทำอะไรกันอยู่ แต่มณีญาก็คิดในทางที่ดี ว่าใครจะบ้าอุตริมาทำเรื่องอย่างว่าในห้องน้ำของสนามบิน
ว่าแล้วเพื่อความแน่ใจ สาวแว่นขี้สงสัยก็ขยับลุกขึ้นจากชักโครกทั้งที่ยังทำธุระของตัวเองไม่เสร็จ เอาหูไปแนบเข้ากับผนังห้องน้ำฟังเสียงของฝั่งตรงข้าม แล้วอัจฉริยะสาวก็ต้องหน้าร้อนวาบ เสียงที่ได้ยินนั้นชัดเจนแจ่มแจ๋วเต็มสองหู การันตีได้เลยว่าไอ้ที่คิดเล่นๆ ก่อนหน้านี้มันคือความจริงล้านเปอร์เซ็นต์
มณีญาถอยกลับมานั่งหน้าแดงก่ำที่ชักโครก ยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหู แล้วหันมาทำธุระในห้องน้ำของตนให้เสร็จๆ จะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงอุบาทนั่นอีก แต่เสียงนั้นก็ยังคอยมารบกวนโสตประสาทของเธอไม่หยุดหย่อน ทำให้มณีญาเกิดอาการของขึ้น จนระงับอารมณ์ไม่อยู่
“โอ๊ย…คนสมัยนี้มันเป็นอะไรกันนะ ทำไมถึงได้มารยาททรามอย่างนี้ ครวญครางอยู่ได้ ฉันปลดทุกข์ไม่ออก รำคาญโว้ย!” ร้องออกมาอย่างเหลืออด จะฉี่ทีไรเสียงร้องบ้าๆ นั่นก็ดังขึ้นอยู่ร่ำไป มันพลอยทำให้เธอหมดอารมณ์ จึงยกมือเอื้อมไปเคาะผนังห้องน้ำที่อยู่ติดกันอย่างไม่คิดจะรักษามารยาท คนที่อยู่อีกฝั่งทำมารยาททรามใส่เธอก่อน ฉะนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องให้เกียรติหรือว่าเกรงใจ
“จะทำอะไรกัน ก็หัดเกรงใจคนอื่นเขาบ้างสิ พ่อคุณแม่คุณเอ้ย!” เคาะเสร็จก็ตะโกนข้ามห้องไปตำหนิติเตียน และทำเหมือนสั่งสอนคนไม่รู้จักกาลเทศะกลายๆ
คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์พิศวาสทั้งคู่หาได้ยี่หระต่อคำของเธอไม่ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาปฎิบัติภารกิจให้ลุล่วงอย่างไม่ลืมหูลืมตา เสียงนั้นก็ยังคงดังต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ เห็นอย่างนั้นมณีญาก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ทนไม่ไหวก็พรวดพราดออกจากห้องน้ำ
