ความซวยของสาวเชยจอมอัจฉริยะ (50%)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานดังติดกันสามครั้ง ทำให้คนที่กำลังรื้อค้นแฟ้มสำนวนคดีเก่าเกี่ยวกับคดีค้าของเถื่อนเมื่อสองปีก่อนออกมาดูต้องชะงักมือ ในใจชักรู้สึกรำคาญที่ประตูห้องทำงานทึบ เพาะมันเป็นเหตุให้จ่าสมหมายต้องเดินเข้าเดินออกห้องทำงานของเขาตลอดทั้งวัน ครั้นจะให้ลูกน้องตะโกนโหวกเหวกบอกว่าใครมาหาก็ใช่ที่ อีกไม่นานเขาคงต้องให้คนหาประตูใหม่มาเปลี่ยนซะแล้ว เอาที่มีช่องพอให้มองเห็นหน้าหรือเสียงสามารถเล็ดลอดเข้ามา คนแก่จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาหลายรอบ
“เชิญ” เจ้าของห้องทำงานกล่าวอนุญาตคนที่อยู่อีกฟากของประตูเสียงทุ้ม เพียงไม่นานร่างท้วมของจ่าสมหมายก็เดินเข้ามาภายใน
“มีอะไรจ่า?” สารวัตรภาคินัย อัศวโพคินหรือภาค หัวหน้างานสืบสวนและปราบปราม เอ่ยถามผู้เป็นลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นการเป็นงาน เงยหน้ามองอีกฝ่ายเพียงแว็บเดียว ก่อนจะก้มลงสนใจงานที่ยังค้างคาอยู่ตรงหน้าต่อ
“คุณมาร์เวลมาขอพบครับ” จ่าสมหมายแจ้งผู้บังคับบัญชาถึงแขกที่มาขอพบ จำได้ขึ้นใจว่าแขกของสารวัตรคือมาร์เวล ดิมิเทียส มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลและมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งของฝรั่งเศส เพราะชายหนุ่มจะมาหาเจ้านายของเขาด้วยลุคของมหาโจรเช่นนี้ทุกครั้ง
“เชิญเขาเข้ามาเลย” เมื่อรู้ว่าเป็นใครที่มาหาตนแต่เช้า สารวัตรหนุ่มก็ไม่รอช้าที่จะเชื้อเชิญ จากนั้นจ่าสมหมายก็ออกจากห้องแล้วเดินไปหามาร์เวลทันที
“คุณมาร์เวลครับ สารวัตรเชิญข้างในครับ” กล่าวเชิญมาร์เวลด้วยท่าทางนอบน้อม ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ต้องเผชิญหน้าและพูดคุยกับบุรุษหนุ่มผู้นี้ จ่าสมหมายก็จะต้องรู้สึกประหม่าและเกรงขามในรัศมีของอำนาจบารมีที่เปล่งประกายออกมาจากตัวของมาร์เวล ดิมิเทียส อยู่ร่ำไป
“ขอบคุณครับ” มาร์เวลกล่าวกับคนมาเชิญเบาๆ ด้วยรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยที่มุมปากหยัก ซึ่งตอนนี้ประดับไปด้วยหนวดเครารกครึ้ม ก่อนที่ร่างผึ่งผายซึ่งพกพาความสูงมากว่าร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตร จะเยื้องย่างด้วยท่าทางทระนงองอาจเข้าไปยังห้องทำงานของผู้ที่ตนต้องการพบ
“สวัสดีครับ สารวัตรภาค” มาร์เวลกล่าวทักทายเจ้าของห้องด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“สวัสดีครับ คุณแม็ค” สารวัตรหนุ่มยื่นมือออกมาจับมือผู้มาใหม่เขย่าเบาๆ พร้อมกับกล่าวทักทายมาร์เวลด้วยรอยยิ้มและคำเรียกขานอันสนิทสนม
“ว่าไงครับคราวนี้ มาไม่บอกไม่กล่าวกันล่วงหน้าเลย” สารวัตรภาคินัยเข้าเรื่องในทันที เพราะต่างก็รู้ดีว่าหากมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่อย่างมาร์เวล ดิมิเทียส อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาเขาถึงไทย ต้องมีเรื่องมาให้ช่วย ไม่งั้นก็เอาข้อมูลดีๆ มาให้เป็นแน่แท้
“ผมเอาหลักฐานการลำเลียงยาเสพติดของไอ้สตีฟมายังไทยมาให้สารวัตรครับ และยังมาส่งข่าวด้วยว่าอีกเจ็ดวันพวกมันจะทำการขนย้ายมาถึงประเทศไทย” มาร์เวลยื่นซองสีน้ำตาลให้สารวัตรภาคินัย พลางแจกแจงถึงข้อมูลความเคลื่อนไหวของแก๊งมาเฟียคู่อริให้วัตรหนุ่มได้รับทราบ
“แสดงว่าเราได้ข้อมูลมาตรงกัน” สารวัตรภาคินัยพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถึงสิ่งที่ตนเพิ่งได้รับรายงานมาจากสายที่วางไว้ ยิ่งมาร์เวลมาบอกกล่าวอย่างนี้ ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าอีกเจ็ดวันไอ้พวกเดนนรกต้องลงมือกระทำชั่วอย่างแน่นอน ซึ่งครั้งนี้เขาจะต้องจับพวกมันให้ได้คาหนังคาเขา หลังจากที่พลาดมาแล้วหลายหน เหตุก็เพราะว่ามีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หนุนหลัง คอยเคลียร์ทางให้พวกมันทุกครั้งไป
“แล้วสารวัตรพอจะรู้ไหมครับ ว่าไอ้สตีฟมันร่วมมือกับใครที่ไทย เพราะเท่าที่ผมสืบมามันจะส่งมอบให้อีกมือ พอของออกมาพ้นจากฝรั่งเศสก็เหมือนจะหมดหน้าที่ของมัน” มาร์เวลเอ่ยถามคู่สนทนาถึงสิ่งที่ตนสงสัยมาโดยตลอด เพราะเมื่อของหลุดออกมาจากเขตฝรั่งเศสแล้ว คนของสตีฟก็จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแต่จะมีกระบวนการส่งมอบ และมีคนรับช่วงไปจัดการทำชั่วอีกทอดหนึ่ง
“ก็ไอ้มาซาโตะ หัวหน้าแก๊งยากูซ่าของญี่ปุ่นยังไงล่ะครับ” สารวัตรภาคินัยกล่าวด้วยท่าทางเครียดเขม็ง ก็จะไม่ให้เขาเครียดได้อย่างไรไหว เดี๋ยวนี้แก๊งยากูซ่าใหญ่ของญี่ปุ่นขยายอิทธิพลเข้ามาทำธุรกิจมืดในประเทศไทยอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แถมได้รับความร่วมมือและการอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี จากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองชั้นผู้ใหญ่ พวกที่เห็นเงินเป็นพระเจ้า แต่เห็นความถูกต้องเป็นเรื่องที่สามารถเพิกเฉยและมองข้ามได้ถ้าเงินถึง
“เดี๋ยวนี้พวกยากูซ่า มันขยายพื้นที่หากินมาถึงไทยเชียวหรือนี่” มาร์เวลรำพึงด้วยความแปลกใจ และรู้สึกสงสัยว่าเหตุไฉนพวกคนชั่วถึงได้เหิมเกริมนัก หากินในแบบชั่วๆ อยู่ที่ถิ่นตัวเองไม่พอ มันยังคิดขยายอิทธิพลมาทำเรื่องชั่วช้าถึงประเทศเพื่อนบ้านอีก
“ครับ มันขยายอิทธิพลเข้ามาคุมธุรกิจมืดในไทยได้สักพักแล้วล่ะครับ แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ ไอ้มาซาโตะมันยังเป็นพี่เขยของไอ้สตีฟด้วย” สารวัตรภาคินัยสาธยายให้มาร์เวลรู้ว่าเพราะอะไรขบวนการทำงานเป็นทอดๆ จากฝรั่งเศสมาไทยของพวกคนชั่วถึงได้ดูราบรื่นและเข้าขากันดีนัก
“อ๋อ…มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ไอ้พวกนี้มันน่าจะจับขังลืมเสียให้เข็ด” จบคำพูดของสารวัตรหนุ่ม มาร์เวลก็ครางยาว พลางใช้หัวสมองคิดประมวลผลตามคำที่ได้ฟัง ทีนี้เขาก็พอเข้าใจแล้วว่า ทำไมเวลาเกิดเรื่องพวกมันถึงไหวตัวทันทุกรอบ ทั้งที่สายของเขาที่รายงานมาก็เชื่อถือได้
“ผมก็อยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกันแหละครับ แต่จับไม่ได้คาหนังคาเขาสักที หลักฐานที่มีก็เอาผิดมันไม่ได้ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณมากนะครับที่เอาหลักฐานมาให้ แถมยังเอาข่าวคราวของพวกมันมาบอกอีก” สารวัตรภาคินัยกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งเก็บหลักฐานที่มาร์เวลเพิ่งยื่นให้ไว้ในลิ้นชัก ก่อนจะล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา
“ด้วยความยินดีครับ” มาร์เวลยิ้มรับคำขอบคุณด้วยความเต็มใจ ถ้าอยากจะกำจัดคนชั่วไม่ให้ลอยนวลเขาก็ต้องร่วมมือกับตำรวจมือดีและเถรตรง อย่างสารวัตรภาคินัย อัศวโพคินนี่แหละ
“แล้วพ่อคุณสบายดีนะ” ภาคินัยเอ่ยถามถึงมาร์แชล ดิมิเทียส อดีตมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่แห่งปารีส ผู้เป็นเหมือนเพื่อนต่างวัยของตน
สมัยที่เขาเพิ่งเข้ารับราชการเป็นตำรวจในสังกัดกองปราบใหม่ๆ ก็มีเหตุให้ได้รู้จักกับพ่อของมาร์เวล เพราะนายมาร์แชลผู้ซึ่งตอนนั้นต้องการออกจากวงการธุรกิจมืด ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฏหมายอีกเด็ดขาด แต่ก็ยังไม่วายโดนแก๊งมาเฟียคู่อริกลั่นแกล้ง ทั้งเข้าไปก่อกวนที่คาสิโน ทั้งใส่ร้ายป้ายสี
มาร์แชลพยายามจะหาหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำชั่วของพวกมันมาส่งมอบให้ตำรวจ ซึ่งฝ่ายนั้นก็แค้นใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งลูกน้องให้ตามเก็บมาร์แชล มาเฟียผู้ยิ่งใหญ่จึงต้องหนีจากการปองร้ายของคู่อริมาขอลี้ภัยที่บ้านพี่ชายของภาคินัย และพี่เขาก็ขอให้เขาคุ้มครองมาร์แชล ไปพร้อมกับช่วยสืบเรื่องราวทั้งหมด และหาหลักฐานมามัดตัวคนผิดให้ได้ จากความช่วยเหลือในครั้งนั้นก่อเกิดเป็นมิตรภาพ ทำให้มาร์แชลสนิทกับทั้งเขาและพี่ชายของเขาพอสมควร
“ครับสบายดีครับ ท่านยังฝากความคิดถึงมาให้พี่ชายคุณด้วยนะครับ” มาร์เวลบอกในสิ่งที่บิดาฝากฝังมาหลังจากที่เขาโทรไปเล่าให้ท่านฟังว่าจะมาไทย
“เดี๋ยวผมจะบอกพี่ชายให้ก็แล้วกัน นี่ก็เที่ยงแล้ว หากคุณไม่มีธุระต่อที่ไหน ผมขอเลี้ยงข้าวสักมื้อ ถือว่าเป็นการตอบแทนสำหรับข้อมูลดีๆ ที่คุณอุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลเอามาให้กับมือ” สารวัตรภาคินัยชักชวนให้มาร์เวลไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน เพราะเขายังมีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะคุยกับมาเฟียหนุ่ม
“ผมไม่มีธุระต่อที่ไหนพอดี” น้อมรับไมตรีจิตด้วยความเต็มใจ
“งั้นเชิญครับ ไปทานข้าวเที่ยงกัน” สารวัตรภาคินัยเก็บของอีกนิดหน่อย ก่อนจะผายมือเชิญมาร์เวลให้เดินออกจากห้องทำงานของตน
“จ่าสมหมาย วันนี้ผมไม่เข้ามาแล้วนะ หากมีอะไรด่วนก็โทรเข้ามือถือผมก็แล้วกัน” เสียงเข้มกล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชา เขาตั้งใจจะเลี้ยงข้าวมาร์เวล หลังจากนั้นก็จะออกไปสืบคดีที่กำลังทำอยู่ ช่วงนี้มีอาชญากรชุกชุม มีคดีใหม่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดทำให้เขาไมค่อยได้อยู่ที่สน.เท่าที่ควร
“รับทราบครับสารวัตร” จ่าสมหมายทำการเคารพผู้บังคับบัญชาด้วยท่าทางขึงขัง ตามแบบฉบับตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
จากแค่คิดที่จะมาเพียงส่งข่าวให้สารวัตรภาคินัย มาร์เวลกลับเปลี่ยนใจขอเข้าร่วมกระบวนการในการจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ในครั้งนี้ เขาจึงต้องพักอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งมาร์เวลก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร หากมันจะทำให้เขากำจัดสิ่งที่มาคอยรังควานจิตใจให้สิ้นซาก ปัญหาที่คาราคาซังระหว่างเขากับไอ้พวกเศษสวะจะได้มลายหายไปสักที ดังนั้นมาร์เวลจึงโทรไปสั่งงานลูกน้อง แล้วเข้าพักในโรงแรมเล็กๆ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของทั้งนักข่าวที่ต่างก็กระเหี้ยนกระหือรืออยากได้ข่าวของเขาและศัตรูคู่อาฆาตอย่างไอ้สตีฟ
ห้องซ้อมดาบ บ้านเอโดะ แดนอาทิตย์อุทัย
ขณะนี้นายมาซาโตะ เอโดะ หัวหน้าแก๊งเอโดะ ผู้อยู่ในชุดซามูไรกำลังกวัดแกว่งดาบซามูไรรุกไล่คู่ต่อสู้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ท่วงท่าและลีลาการต่อสู้บ่งบอกได้ดีว่าอายุและพุงพลุ้ยไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการออกอาวุธในครั้งนี้ ห้องซ้อมดาบซามูไรแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ประมุขเฒ่าแห่งแก๊งยากูซ่าชื่อกระฉ่อนและทรงอิธิพลที่สุดในญี่ปุ่น ใช้เป็นที่ออกกำลังกายเรียกเหงื่อและแก้เครียด เพราะเขาคลั่งไคล้กีฬาที่เป็นดั่งศิลปะการต่อสู้อันเก่าแก่ของชนชาติญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
แอ๊ด!!!
เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้น ไม่ทำให้คู่ต่อสู้หยุดการงัดกลยุทธออกมาฟาดฟันกันได้ ผู้มีอาวุธในมือทั้งสองยังคงรุก รับและไล่กันอย่างต่อเนื่อง จนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เมื่อเสือเฒ่าเรียกเหงื่อได้เป็นที่พอใจ เขาจึงโบกมือส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายยุติเกมการต่อสู้ลง เจ้าของร่างท้วม หน้าเหลี่ยม ของชายวัยห้าสิบหกปี เอาดาบไปวางใว้ตรงชั้นเก็บรวมกับดาบเก่าแก่และหายากอีกนับสิบเล่ม ก่อนจะหันมารับผ้าขนหนูผืนเล็กจากลูกน้องไปซับเหงื่อตามใบหน้าและลำคอ
“ได้เรื่องแล้วหรือยัง?”