บทที่ 3.1 เว่ยซือหงถือกำเนิด
ในพิภพผู้ฝึกปราณ ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ดินแดน ได้แก่ ดินแดนเบื้องล่าง ดินแดนเบื้องบน และดินแดนเทพอันเป็นดินแดนในตำนานที่เหล่าผู้ฝึกปราณอยากไปเยือนให้ได้สักครั้ง
กล่าวถึงดินแดนเบื้องล่าง ถูกเรียกว่าทวีปนภาคราม แบ่งพื้นที่ปกครองเป็น 8 แคว้นย่อยด้วยระบบราชวงศ์ ได้แก่ แคว้นโจว แคว้นฉี แคว้นฮั่น แคว้นเป่ย แคว้นเซี่ย แคว้นหนาน แคว้นปิง และแคว้นสือ
โดยมีป่าบรรพกาลตั้งอยู่ระหว่างกลาง ล้อมรอบด้วยแคว้นทั้งแปด สิ่งที่กั้นอาณาเขตการแบ่งแคว้น หากไม่เป็นทางน้ำก็เป็นหุบเขา
นอกจากนี้ยังมี 4 สำนักใหญ่ที่เปิดสอนการฝึกปราณเป็นหลัก ได้แก่ สำนักพยัคฆ์ทมิฬ สำนักหงส์เพลิง สำนักมังกรดำ และสำนักหมื่นบุปผา
ทั้งนี้ยังมีหอเทพโอสถที่มีอำนาจเหนือราชวงศ์ ขึ้นตรงต่อดินแดนเบื้องบนเป็นหลัก เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางถ่วงดุลอำนาจของทวีปนภาคราม คอยสอดส่องดูแลปกครองอยู่เบื้องหลังราชวงศ์อีกที
ปัจจุบันพิภพผู้ฝึกปราณมีอายุมากกว่าพันปีแล้ว เดิมทีเป็นพิภพที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ทว่าราว 500 ปีก่อน ได้เกิดสงครามเทพ-มารขึ้น ทำให้ทั้งสามดินแดนได้รับผลกระทบ เส้นปราณวิญญาณอ่อนแอลง ทำให้ยากต่อการดูดซับเป็นอุปสรรคในการเลื่อนขั้นปราณ แต่ปัญหานี้สามารถแก้ได้ด้วยโอสถที่ช่วยในการเลื่อนขั้น รวมถึง สมุนไพรและหินปราณ ซึ่งยากที่จะประเมินมูลค่า
ทว่าปัญหาหลักจริง ๆ ที่จวบจนวันนี้ก็ยังแก้ไขไม่ได้คือไอมาร ตั้งแต่สงครามเทพ-มารจบลงได้ไม่นาน ไอมารก็เริ่มระบาด จากที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็เข้าสู่ความแห้งแล้ง เพาะปลูกไม่ได้ พืชพรรณธัญญาหารหาได้ยาก ที่หาได้ล้วนมีราคาแพง มนุษย์เอาตัวรอดด้วยการหาของป่าประทังชีวิต
หลังถูกมนุษย์เหยียบย่ำรุกรานนานวันเข้า ป่าหรือภูเขาแต่ละแห่งก็ค่อย ๆ เสื่อมสภาพลงไป สัตว์ป่ารวมทั้งสัตว์อสูรระดับต่ำที่เคยอยู่บริเวณรอบนอกทยอยพากันกลับเข้าไปอยู่ส่วนลึกใจกลางป่าเพื่อเอาชีวิตรอด มนุษย์จึงมีชีวิตอยู่ได้ยากขึ้น
หากไม่ใช่ผู้ฝึกปราณระดับสูง ๆ ก็ยากที่จะหาอะไรดี ๆ ติดไม้ติดมือออกมาได้ ทั่งว่าผู้ฝึกปราณระดับสูงบางคนยังไม่คิดเอาชีวิตไปเสี่ยงที่ใจกลางป่ากลางดงอสูรเลยก็มี ดังนั้นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจึงแทบไม่มีหวัง ได้แต่หากินอยู่รอบนอกของชายป่า ทำได้แค่ขุดดินกินรากไม้ประทังชีวิตไปวัน ๆ
กล่าวว่าหากไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์หรือคนมีอำนาจจริง ๆ น้อยนักที่จะมีคนเข้าไปในป่าชั้นใน เพราะเข้าไปแล้วไม่รู้จะมีชีวิตรอดกลับออกมาอีกหรือไม่นั่นเอง
ในบรรดาแคว้นทั้งแปด แคว้นโจวนับได้ว่าอุดมสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งโชคดีที่ตระกูลเว่ยตั้งตระกูลอยู่ที่แคว้นนี้นับตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน
ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลแม่ทัพที่มีประวัติยาวนานมานับร้อย ๆ ปี ทายาททุกคนของตระกูลเว่ยล้วนรับราชการทหารตามบรรพบุรุษทั้งสิ้น มีบ้างที่ประกอบอาชีพอื่น แต่ส่วนใหญ่ยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ นั่นคือการปกป้องแว่นแคว้นและประชาชนจากข้าศึกที่หวังมารุกรานแคว้นโจว รวมถึงศัตรูจากหมู่มารด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันเว่ยซือหลิวอดีตแม่ทัพใหญ่อายุ 50 ปี ดำรงตำแหน่งประมุขของตระกูลเว่ยหรือนายท่านใหญ่ โดยมีภรรยาคู่ใจเพียงหนึ่งเดียวนามหลินซือเหยาวัย 45 ปีปกครองเรือนหลัง เรียกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย
ทั้งคู่มีบุตรชายเป็นพยานรักที่ภาคภูมิใจอยู่หนึ่งคนนามเว่ยซือซาน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นโจวมีอายุได้ 28 ปีแล้ว
เว่ยซือซานมีภรรยารักอยู่หนึ่งคนนามว่าหลิวลี่หง อายุ 26 ปี ทั้งคู่มีบุตรชายสองคนเป็นพยานรักนาม เว่ยซือหลาง อายุ 10 ปี และเว่ยซือเหลียง อายุ 7 ปี ซึ่งตอนนี้กำลังมีพยานรักอีกหนึ่งคนกำลังจะถือกำเนิดขึ้นมา
เสียงร้องเจ็บท้องคลอดของฮูหยินน้อยตระกูลเว่ย ทำคนในตระกูลแตกตื่นวุ่นวายไปหมด ทั่งเว่ยซือซานที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ยังว้าวุ่นควบคุมตนเองแทบไม่ได้ด้วยเป็นห่วงภรรยารัก ทั้ง ๆ ที่นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่ภรรยาคลอดแต่แม่ทัพหนุ่มยังไม่ชินเสียที
ในขณะที่จวนตระกูลเว่ยกำลังอยู่ในความวุ่นวาย ด้านนอกเองก็อยู่ในอาการตกตะลึงพรึงเพริดด้วยเช่นกัน ด้วยวันนี้เป็นวันเทศกาลหยวนเซียว ราตรีกาลที่ควรมืดมิดกลับมีแสงสีทองของจันทราทอประกายสว่างไสว สองข้างทางริมถนนถูกประดับประดาด้วยโคมไฟกระดาษ ผู้คนคลาคล่ำเดินขวักไขว่เที่ยวชมเทศกาลหยวนเซียวที่หนึ่งปีจะมีสักครั้ง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความชื่นมื่น
ทว่ายิ่งนานยิ่งสว่างไสว
ดวงจันทรากลมเด่นเป็นสง่าลอยเคลื่อนตั้งตระหง่านกลางท้องนภา สาดแสงสีทองสว่างไสวนับเป็นนิมิตหมายอันดี ผู้คนที่ออกมาเดินชมเทศกาลหยวนเซียวต่างมองปรากฏการณ์นี้ด้วยความแปลกใจ เพราะปีที่ผ่าน ๆ มาไม่เคยมีปีไหนที่ดวงจันทร์จะกลมโตและทอแสงสว่างเพียงนี้
ก่อนเปลี่ยนสายตาแปลกใจเป็นตื่นตะลึง เมื่อเวลาผ่านมาถึงค่อนคืน ดวงจันทรายังคงสาดแสงสีทองอยู่กลางฟากฟ้า สว่างไสวราวกับรุ่งอุษาสาด ตามมาด้วยกลีบบุปผาที่โปรยลงมาจากเบื้องบน เหล่าสรรพสัตว์ต่างร่ำร้องแซ่ซ้องยินดี หันหน้ามาทางที่ตั้งทิศของเมืองหลวงแคว้นโจวแล้วหมอบกราบราวกับพบเจอผู้ยิ่งใหญ่
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นไปทั่วแคว้น สร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้คนหมู่มาก บ้างถึงกับคำนับหมอบกราบเพราะคิดว่านี่เป็นคำอวยพรจากสวรรค์ เหล่าโหรหลวงคู่แคว้นเร่งทำนายดวงชะตาเมือง เพื่อถวายคำตอบแด่องค์เหนือหัวเป็นการใหญ่