บทที่ 10.1 เดินตลาดและความผิดหวัง
รุ่งเช้าต้นยามเฉิน(07.00-08.59น.) หลังทุกคนรับอาหารเช้าเสร็จแล้ว จึงมารวมตัวกันที่เรือนหลักในห้องตำราประจำตระกูล
“เอาละ หงเอ๋อร์หลานรู้หรือไม่ว่าทำไมเราถึงมารวมตัวกันที่นี่” เว่ยซือหลิวถามหลานสาว
“เพราะพลังปราณของอาหงเจ้าค่ะท่านปู่” เจ้าตัวน้อยตอบเสียงดังฟังชัด
“ถูกต้อง ที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อหารือกับการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนด” เจ้าตัวน้อยฟังท่านปู่ของนางอย่างตั้งใจ
“ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะเก็บเป็นความลับไว้ก่อน แต่มันทำไม่ได้แล้ว เพราะการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนดปะทุรุนแรงเกินไป ทำให้ตระกูลใหญ่ที่คานอำนาจรวมถึงราชวงศ์ได้ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้แล้ว หงเอ๋อร์ รู้ใช่หรือไม่ว่าเรื่องนี้รุนแรงและน่าตื่นตะลึงแค่ไหน”
“อาหงรู้เจ้าค่ะท่านปู่ ในเมื่อพวกเขารู้แล้วเราก็ไม่ต้องปิดหรอกเจ้าค่ะ”
“จริงอยู่ที่ไม่ต้องปิด แต่ลูกรักเจ้าฟังพ่อนะ ถึงพวกเขาจะรู้ว่าพลังปราณของเจ้าตื่นขึ้น ก็ใช่ว่าจะรู้รายละเอียดทั้งหมด ดังนั้นเราต้องปกปิดเอาไว้บ้าง”
“พ่อของลูกพูดถูก ความจริงเราตั้งใจจะเปิดเผยพลังธาตุของลูกแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เราอยากถามความคิดเห็นของลูกก่อน ว่าลูกอยากเปิดเผยพลังธาตุใด เราจึงได้พาลูกมาปรึกษาหารือที่นี่ แต่...”
“แต่อะไรหรือเจ้าคะท่านแม่”
“แต่เพราะว่าเมื่อคืนเจ้าตื่นมาก็มีพลังปราณระดับเริ่มต้นขั้นต่ำ ทำให้เราทุกคนมีความคิดเห็นเหมือนกันว่า จะไม่เปิดเผยเรื่องระดับพลังของเจ้า แค่พลังปราณตื่นก่อนกำหนดก็น่าตกตะลึงมากพอแล้ว หากคนอื่นรู้เข้าว่าเจ้ามีพลังระดับเริ่มต้นขั้นต่ำ ยุทธภพได้วุ่นวายแน่” เว่ยซือหลางพูดกับน้องสาวแทนมารดา
เว่ยซือเหลียงจึงเอ่ยขึ้นบ้าง “ถูกของพี่ใหญ่ อาหง เรื่องที่พลังปราณตื่นก่อนกำหนดเช่นเจ้านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราไม่รู้ว่าคลื่นใต้น้ำที่หลบในเงามืดมีกี่มากน้อย พวกเราจึงต้องหาทางป้องกันเพื่อให้เจ้าหลีกเลี่ยงกับอันตรายให้มากที่สุด”
“หลานรัก การที่พลังปราณของหลานตื่นก็ดี เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ด้านพลังธาตุก็ดี แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่ทุกคนลงความเห็นให้ปกปิดพลังของหลานเอาไว้ ไม่ใช่เพราะอิจฉาหลาน พวกเราทุกคนเป็นห่วงเจ้า ดังนั้นหลานรักของย่า เจ้าอย่าได้น้อยอกน้อยใจไปเลยนะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเมื่อหลานรักของนางนิ่งฟังอย่างเงียบ ๆ เร่งอธิบายกลัวเจ้าตัวน้อยจะเข้าใจผิด
แต่พอทุุกคนได้ยินคำตอบของเทพธิดาตัวน้อยประจำจวนพลันยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกและเอ็นดู ดีใจที่เจ้าตัวเข้าใจอะไรได้ง่ายดาย
“อาหงไม่ได้น้อยใจเจ้าค่ะ อาหงแค่กำลังคิดว่าจะเปิดเผยว่าตนเองมีพลังธาตุธาตุใดดี”
“เอาละหลานปู่ เจ้าบอกปู่มาสิว่า เจ้าเลือกจะเปิดเผยธาตุใดเพราะเหตุใด”
เว่ยซือหงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย “อาหงจะเปิดเผยสามธาตุเจ้าค่ะ ธาตุไฟ ธาตุพฤกษา และธาตุแสง”
“หนึ่งธาตุธรรมดา สองธาตุพิเศษ เหตุผลเล่า”
“เพราะอาหงต้องการเป็นนักปรุงโอสถและนักอักขระเจ้าค่ะท่านพ่อ รวมถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาหงก็คือ อาหงจะปลูกผัก!”
สมาชิกตระกูลเว่ยต่างตกใจกับความต้องการของนาง ดีใจที่นางรักความก้าวหน้าและแข็งแกร่ง แต่การฝึกฝนที่มากกว่าสองสายไม่เคยปรากฏมาก่อน ทุกคนจึงจะอธิบายให้นางเข้าใจถึงความยากลำบากการฝึกฝนแต่ละสาย แต่ถูกเว่ยซือหงพูดขึ้นมาเสียก่อนราวกับรู้ว่าสมาชิกในตระกูลกำลังคิดสิ่งใด
“อาหงรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงเจ้าค่ะ อาหงรู้ว่าการฝึกฝนนั้นยากจะประสบผลสำเร็จโดยง่าย และไม่มีใครฝึกมากกว่าหนึ่งสายมาก่อน ทว่าอาหงอยากให้ทุกคนเชื่อใจว่าอาหงฝึกได้จริง ๆ”
“...”
“เชื่ออาหงเถอะนะเจ้าคะทุกคน อาหงฝึกได้แน่นอน อาหงอยากแข็งแกร่งด้านพลังยุทธ์เหมือนท่านปู่ท่านพ่อพี่ใหญ่พี่รอง อยากมีคนนับหน้าถือตาเช่นท่านย่าและท่านแม่ในฐานะนักอักขระและนักปรุงยา”
เจ้าตัวน้อยไม่พูดเปล่าแต่ยังแสดงสีหน้าออดอ้อนจนคนอื่น ๆ ใจเหลวไปตาม ๆ กัน อยากกล่าวห้ามก็พูดไม่ออกแล้วตอนนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่พอนึกถึงความพิเศษที่มากด้วยพรสวรรค์ของหลานสาวจึงเก็บวาจาไป
ขนาดร่ำเรียนเขียนอ่านอาหงยังอ่านได้ตั้งแต่สามขวบ หากนางบอกว่าสามารถฝึกมากกว่าหนึ่งสายได้คงได้กระมัง เช่นไรตอนนี้นางก็อายุยังน้อย ให้นางได้เรียนรู้ด้วยตนเองไปก่อน หากนางฝึกไม่ได้จริงค่อยเคี่ยวเข็ญให้นางฝึกสายเดียวที่นางมีพรสวรรค์ที่สุดแล้วกัน เฮ้อ!
ทว่าสามีอย่างผู้เฒ่าเว่ยซือหลิวหาได้คิดเหมือนภรรยาคู่ชีวิตของตนไม่ เขามั่นใจและมีความเชื่อถือในตัวหลานสาวยิ่งว่านางสามารถฝึกฝนได้จริง ๆ ทั้งยังเชี่ยวชาญมากด้วย
สมาชิกหลักตระกูลเว่ยมีด้วยกันเจ็ดคนรวมเขาด้วย ผู้ชายสี่คนของตระกูลต่างพากันทุ่มเทฝึกยุทธ์กันหมด ภรรยาของเขาเป็นนักอักขระ ลูกสะใภ้เป็นนักปรุงยา หากมีอัจฉริยะเพิ่มขึ้นในตระกูลไม่ว่าจะด้านใด ก็ส่งผลดีต่อตระกูลเว่ยของเขาทั้งนั้น อีกอย่างเจ้าตัวน้อยที่กำลังส่งสายตาวิบวับออดอ้อนก็น่ารักไม่หยอก ไหนเลยจะใจแข็งห้ามนางได้
“เอาละ เช่นนั้นตกลงตามนี้ ปู่จะเอาใจช่วยนะอาหง หลานสามารถมาฝึกพลังยุทธ์กับปู่ พ่อและพี่ใหญ่พี่รองของหลานได้ ส่วนด้านอักขระและโอสถนั้น หากหลานมีข้อสงสัยและไม่เข้าใจ สามารถปรึกษาท่านย่าและแม่ของหลานได้ เข้าใจหรือไม่ ไม่ว่าหลานจะเลือกทางใดพวกเราทุกคนจะสนับสนุนหลานต่อไป” เมื่อผู้เฒ่าเว่ยซือหลิวพูดเช่นนี้จึงไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาอีก ต่างคนต่างใช้ความคิด
คิดหนักหน่อยคงเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้ เพราะการจะเป็นนักอักขระและนักปรุงยานั้นล้วนฝึกฝนได้ยากทั้งสิ้น พวกนางอยู่มาเกือบครึ่งค่อนชีวิต ยังเป็นได้แค่นักอักขระขั้นกลางและนักปรุงยาขั้นกลาง
เอาเถอะในเมื่อตัดสินใจแล้วมีแต่ต้องสนับสนุน
“อาหง ถึงหลานจะตัดสินใจเช่นนั้นแต่เราจะยังไม่เปิดเผยเส้นทางฝึกฝนที่หลานเลือกตกลงหรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านย่า”
“หงเอ๋อร์ นับจากวันนี้ไปลูกจะตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน อำนาจทุกฝ่ายจะจับจ้องมาที่เจ้า ดังนั้นหากจะทำอะไรหลานต้องคิดให้รอบคอบ”
“อาหงเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านปู่” เจ้าตัวยิ้มแย้มรับคำ ดีใจที่ทุกคนไม่ห้ามที่นางเลือกฝึกฝนทั้งสามสายวิชา
“อาหงยื่นแหวนมาย่าจะให้กำไลปกปิดระดับพลังเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว ด้วยนักอักขระระดับกลางที่มีลมปราณระดับปราชญ์ขั้นต่ำ นางจึงลงอักขระปกปิดให้หลานสาวด้วยตนเอง
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านย่า” อาหงรับมาแล้วกล่าวสิ่งที่ทำให้สมาชิกตระกูลตกตะลึงอีกครั้ง “หลานจะเก็บรักษากำไลที่ท่านย่าให้ไว้อย่างดี เพราะหลานมีแหวนปกปิดพลังอยู่แล้ว”
สิ้นคำก็อวดแหวนหยกลงอักขระระดับเทพให้ทุกคนดู
“หลานได้มาจากไหน! ย่าจำได้ว่าย่าไม่เคยให้”
“ท่านตาเทพให้มาเจ้าค่ะ”
ถึงจะยังไม่บอกเรื่องมิติเพราะต้องการเก็บเป็นความลับไว้ก่อน เพื่อที่ตัวนางจะได้มีสถานที่สำหรับหลบซ่อนเวลาไม่อยากเรียนศาสตร์ศิลป์สตรีอย่างไรเล่า!
สมาชิกตระกูลเว่ยอยากถามถึงที่มาของแหวนหยกปกปิดพลังมากกว่านี้ แต่ก็จนใจ เพราะเจ้าตัวน้อยที่ชอบทำให้คนอื่นตกอกตกใจจงใจเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากตอบคำถาม
“วันนี้วันเกิดอาหง ทั้งยังเป็นวันเดียวกับเทศกาลหยวนเซียว ขออาหงไปเดินตลาดนะเจ้าคะ”
หลังออดอ้อนและพูดคุยทำความเข้าใจกันอยู่นานทุกคนก็พยักหน้าตกปากรับคำให้นางไปเดินตลาดโดยมีพี่ชายทั้งสองและสาวใช้คนสนิทไปด้วย