บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ผู้หญิงที่มากับสายฝน

“งั้นก็เข้าบ้าน เอ็งจะถ่ายรูปเจ้าดำเก็บไว้ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวมืดค่ำแสงหมด รูปจะออกมาไม่สวย”

พิจิกาเดินตามหลังพ่อเข้าไปข้างใน หากสายตายังกวาดมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง...เกรงว่าวินาทีใดวินาทีหนึ่งลูกรักทั้งสามตัวของพ่อจะโผล่มาทักทายหล่อนอีก

ใต้ถุนเรือนไทยยกสูงต่อเติมเป็นห้องทำงานกรุผนังกระจก ข้างในนั้นมีโมเดลรถยนต์คันสีดำจำนวนสามคันวางบนโต๊ะไม้อย่างเด่นตระหง่าน

พิจิกาถ่ายรูปโมเดลรถอย่างตั้งใจ รูปพวกนี้หล่อนจะเก็บไว้ในแฟนเพจที่จัดทำขึ้น โดยหล่อนเป็นแอดมินเพียงคนเดียว ซึ่งถือเป็นช่องทางเผยแพร่ผลงานของพ่อ...เรียกได้ว่ามันเป็นกิจกรรมเดียวที่ทำให้หล่อนกับพ่อได้พบหน้าและพูดคุยกัน

“เอ็งรู้ไหมว่าโมเดลชุดนี้ลูกค้าให้ตั้งสองหมื่นห้าเชียวนะ”

นายสมานบอกอย่างภูมิใจ ขณะบรรจงเก็บโมเดลรถยนต์ลงในกล่องพลาสติกใสที่เตรียมรอไว้แล้ว

“แพงขนาดนั้นเลยหรือพ่อ ใครกันที่ทุ่มเงินซื้อได้ขนาดนี้”

“เอ็งพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง ผลงานข้าไม่ดีพอเหรอวะ”

“เปล่าหรอก หนูไม่รู้จักตลาดพวกนี้นี่นา ก็แค่ตกใจเพราะราคาเกือบเท่าเงินเดือนของหนู”

พิจิกาแย้ง หากพอคิดว่าโมเดลรถยนต์ที่พ่อทำเป็นงานหลักหลังจากเกษียณราชการเป็นของสะสมของกลุ่มคนที่นิยมกัน ดังนั้นราคาคงขึ้นอยู่กับความพอใจ แต่หล่อนไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ บ่อยครั้งจึงเข้าไม่ถึง...หากหล่อนก็พยายามทำความเข้าใจ

“แต่ถึงจะได้เงินมาก พ่อก็ไม่ต้องรับงานจนเกินกำลังนะ พ่อแก่แล้ว เงินบำนาญก็มีทุกเดือน หนี้สินก็ไม่มีแล้ว พ่อเอามันมาใช้บ้าง”

“ข้าจะเก็บเงินบำนาญไว้ให้เอ็ง”

“เอาอีกแล้ว หนูมีงานทำแล้วนะพ่อ”

“ข้ารู้ เอ็งมันเก่ง เลี้ยงดูตัวเองได้ ข้าไม่ได้ห่วงเอ็งหรอก แต่ที่เก็บเงินไว้ให้เอ็ง ข้าทำเพื่อตัวเองด้วย เพราะข้าจะได้รู้สึกว่ามีส่วนในการเลี้ยงดูลูก”

“พ่อจะมาเลี้ยงดูหนูทำไม หนูอายุเกือบสามสิบสองปีแล้วนะ พ่อกับแม่ก็ชราแล้ว ความจริงหนูนี่แหละที่ต้องหาเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่แม่ไม่ต้องการอะไรจากหนู เพราะแม่มีกินมีใช้พอแล้ว ทุกวันนี้หนูก็แค่ไปกินข้าวด้วยทุกสัปดาห์ บางทีขับรถพาแม่ไปทำบุญกับก๊วนเพื่อนของเขา ตอนนี้หนูก็มองบั้นปลายชีวิตตัวเองไว้แล้ว หนูมั่นใจว่าสามารถดูแลตัวเองตอนแก่ได้”

“เอ็งอายุแค่สามสิบสองปี ยังสาวยังแส้แท้ๆ แต่พูดเป็นแม่แก่”

“หนูแค่บอกว่าหนูเป็นผู้ใหญ่ มีงาน มีอาชีพ เลี้ยงดูตัวเองได้แค่นั้นเอง”

“เอ็งอายุเท่าไรก็ช่างเอ็ง แต่สำหรับข้า เอ็งยังเป็นยายพริกคนเดิม แค่ว่าตอนนี้เป็นครูอาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหาให้สอน”

นายสมานพูดเสียงเนิบ หากสายตายังเพ่งอยู่กับเจ้าโมเดลลูกรักที่เตรียมส่งต่อให้ลูกค้า ทำเอาคนเป็นลูกสาวถึงกับหัวเราะในลำคออย่างขำๆ

“พ่อเหมือนแม่ก็ตรงนี้แหละ คิดว่าหนูเป็นเด็กอยู่เรื่อย”

“เอ็งยังเป็นเด็ก ไปใช้ชีวิตให้คุ้ม อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองแก่ งานการมีก็ทำไป แต่ต้องใช้ชีวิตของเอ็งไปด้วย”

“หนูก็ใช้ชีวิตของหนูอยู่ทุกวัน หนูมีความสุขดี”

ชายชราไม่โต้กลับและไม่พูดเรื่องนี้อีก เพราะเห็นว่าลูกสาวมีจุดยืนของตัวเอง ซึ่งเขาก็ไม่ได้เดือดร้อน ขอเพียงลูกมีความสุขก็พอ เขาจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องโมเดลรถยนต์เสีย ซึ่งอีกฝ่ายก็ให้ความสนใจเช่นทุกคราว

พิจิกาขับรถออกจากบ้านของพ่อเมื่อเวลาค่ำ หลังจากรับประทานอาหารกับพ่อเสร็จ โดยมื้อนี้พ่อโชว์ฝีมือทำต้มแซ่บเห็ดซึ่งเป็นเมนูโปรดของหล่อน

หญิงสาวเลี้ยวรถออกนอกเมืองเมื่อตัดสินใจว่าคืนนี้จะนอนพักที่บ้านจัดสรรชั้นเดียวที่เพิ่งซื้อมาแทนที่จะกลับไปยังบ้านพักอาจารย์ที่อยู่ในเขตมหาวิทยาลัย หากครู่เดียวพิจิกาก็เห็นเม็ดฝนโปรยกระทบหน้ารถ หล่อนจึงเร่งความเร็วรถเพื่อจะกลับไปให้ถึงบ้านก่อนเจอฝนตกหนักระหว่างทาง

พลันแสงไฟจ้าก็ส่องเข้ามาจนดวงตาพร่ามัว มันเคลื่อนเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง เสี้ยววินาทีนั้นสัญชาตญาณการหลีกหนีภัยทำให้หล่อนเบี่ยงพวงมาลัยรถหลบโดยอัตโนมัติ

“กรี๊ด!”

เสียงกรีดร้องดังก้องอยู่ในรถ พิจิกาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเสียงของตัวเอง หล่อนกำลังตกใจ เพราะรถกำลังเสียหลัก มันสูญเสียการควบคุมไปแล้ว

“โอ๊ย! หยุดสิ หยุด!”

หญิงสาวเหยียบเบรกห้ามรถสุดกำลัง หัวใจสั่นรัว ความรักตัวกลัวตายกำลังพุ่งสูง รถคันสีครีมไถลลงข้างทาง หล่อนไม่สามารถหยุดมันได้ แสงไฟส่องหน้ารถทำให้เห็นเบื้องหน้านั้นเป็นทางน้ำไหล...หล่อนกำลังกลัวว่ารถจะตกลงไป

“แม่จ๋า พ่อจ๋า ช่วยพริกด้วย”

เสียงพึมพำสั่นพร่าหลุดออกมา เนื้อตัวของพิจิกาสั่นเทา หล่อนพยายามเรียกสติตัวเอง ถ้ารถตกลงไปในคลองเลียบถนนที่มีน้ำขึ้นสูงจนปริ่มตลิ่ง หล่อนจะพาตัวเองออกมาจากรถอย่างไรดี

หากเหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้น เพราะมีบางสิ่งขวางทางรถไว้ รถของหล่อนสะดุดกึกแล้วหยุดนิ่ง พิจิกาได้แต่นั่งตัวแข็งเกร็งอยู่หลังพวงมาลัย ไม่กล้าขยับตัวอีกเลย

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่หล่อนอยู่ในอิริยาบถนั้น ทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่ความกลัว จนต้องฝืนเปิดประตูรถหวังจะพาตัวเองออกไป

หากแค่ดันประตูออกได้เพียงคืบ มันก็ขยับเปิดไม่ได้อีก เหมือนว่ามีบางสิ่งดันไว้ พิจิกาปลอบตัวเองให้ใจเย็น หล่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา...คนแรกที่นึกถึงก็คือพ่อ

หญิงสาวรอเสียงตอบรับจากพ่อ หล่อนรอจนสายเรียกตัดไป น้ำตาแห่งความกลัวไหลออกมา ตั้งใจจะช่วยตัวเอง หากแค่ขยับกายเพื่อจะเปิดประตูรถอีกฝั่ง หล่อนก็ต้องหวีดร้องสุดเสียงเพราะรถที่หยุดนิ่งมาหลายนาทีพลันก็ขยับไหว

มือสั่นเทากดโทร.หาอีกเบอร์ คราวนี้หล่อนไม่ต้องรอนาน ปลายสายตอบรับทันที

“อั๋น! ช่วยฉันด้วย รถกำลังจะตกน้ำ มาช่วยฉันเร็วๆ” พิจิกาละล่ำละลักบอก และอีกฝ่ายก็ถามกลับด้วยเสียงตื่นตัว

“พริกเป็นอะไร แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”

“ฉันขับรถกลับบ้าน เลยสี่แยกก็มีรถวิ่งสวนเลน รถฉันตกลงข้างทาง ฉันออกจากรถไม่ได้ ประตูคนขับมันเปิดไม่ได้ ฉันขยับไปทางอื่นไม่ได้ด้วย รถจะตกคลอง”

“พริกใจเย็นๆ เราจะไปหาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องตกใจนะ”

“รีบมานะ ฉันกลัว”

เมื่อได้ยินเสียงเพื่อน หญิงสาวก็รู้สึกหัวใจชื้นขึ้นอย่างมีความหวัง หากพอสายถูกตัดไป หล่อนก็ตกอยู่ในความเคว้ง

พิจิกาได้แต่นั่งนิ่งๆ เหลือบมองรอบตัว หวังว่าจะมีรถสักคันมองเห็นรถของหล่อน แต่กลับไร้ความหวัง เพราะนานๆ ครั้งถึงจะได้ยินเสียงรถแล่นผ่านไป แถมรอบตัวนั้นมืดสนิท สายฝนก็โปรยหนาตาขึ้น...ความหวังที่หล่อนจะออกจากรถได้จึงฝากไว้กับอาทิตย์เท่านั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel