บทที่ 1 ผู้หญิงที่มากับสายฝน
บ้านทรงไทยประยุกต์หลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาทดแทนเรือนไม้หลังเดิมที่ทรุดโทรมไปตามวันเวลาหลังจากที่พ่อเกษียณอายุราชการแล้ว ความทรงจำสมัยเด็กของพิจิกายังเด่นชัด หล่อนเคยอาศัยร่วมกับพ่อและแม่ที่นี่ ต่อมาเมื่อพ่อและแม่แยกทางกัน หล่อนกับแม่จึงย้ายไปอยู่กับลุงซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่ที่บ้านหลังใหญ่โตร่วมกับญาติอีกหลายคน
ช่วงแรกๆ พ่อยังแวะเวียนไปหาหล่อนที่โรงเรียน บางคราวพ่อก็โทร.มาหาผ่านครูประจำชั้น แต่พอนานไปการพบปะของหล่อนกับพ่อก็ค่อยๆ ห่างกัน กระทั่งช่วงหนึ่งพิจิกาไม่ได้เจอพ่อนานนับ 2-3 ปี
เมื่อหล่อนเรียนในระดับมัธยมปลาย พ่อจึงติดต่อกลับมาอีกครั้ง ไถ่ถามความเป็นอยู่ของหล่อน และอาสาจะส่งเสียค่าเล่าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย แต่เมื่อแม่รู้เข้าก็ปฏิเสธเด็ดขาด...และเช่นเคย พ่อไม่มีปัญหาอะไร พ่อยอมรับทุกการตัดสินใจของแม่ แต่คราวนี้พ่อไม่ได้หายไปจากหล่อนอีก พ่อทิ้งช่องทางติดต่อไว้ให้ นับจากนั้นความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกจึงกลับมาเหนียวแน่นอีกหน
‘ข้าไม่ใช่ต้นแบบผู้ชายที่ดี ถ้าเอ็งจะมีแฟน เลือกผู้ชายให้ดีก็แล้วกัน’
‘ยังไงที่เรียกว่าดีอะพ่อ รวยมากและไม่ขี้เมาเหรอ’
พิจิกาเย้าพ่อ...รู้กันดีว่าคุณสมบัติสองข้อนี้ไม่อยู่ในตัวพ่อ พ่อจึงแกล้งส่งมะเหงกมาให้ แล้วพูดเสียงเรียบเรื่อยอย่างคนใจเย็น
‘ดูว่าเขาพร้อมจะดูแลเราหรือเปล่า ถ้าไม่อย่างนั้นภาระหนักจะตกอยู่กับเอ็ง เอ็งจะกลายเป็นคนนำครอบครัวเหมือนอย่างแม่เอ็ง...ข้ารู้ว่ามันเหนื่อย’
พ่อคิดว่าตนไม่เก่งพอ จึงไม่อาจเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีได้ เมื่อตอนพิจิกาเป็นเด็ก แม่ก็พร่ำบอกเช่นนั้นเหมือนกัน แต่พอหล่อนโตเป็นผู้ใหญ่ก็กลับมองเห็นพ่อในอีกมุม
‘หนูไม่อยากมีแฟนหรอก หนูอยากเรียนหนังสือสูงๆ ตั้งใจทำงานแล้วเก็บเงินไว้เลี้ยงดูตัวเอง หนูไม่อยากหวังพึ่งใคร’
‘เอาอย่างนั้นก็ได้ ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เก่งๆ ทั้งนั้น ข้ารู้ว่าเอ็งทำได้’
พ่อยอมรับแนวทางของหล่อนง่ายๆ และยอมรับได้นานแล้ว ซึ่งต่างกับแม่...จนป่านนี้แม่ยังเซ้าซี้ให้หล่อนมีแฟนและแต่งงานอยู่เลย
เฮ้อ! ของพวกนี้มันหากันได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน เอะอะๆ ก็บอกให้แต่งงาน แล้วเราจะไปแต่งกับใคร...ปูนนี้แล้ว เพื่อนประถม มัธยม ยันมหา’ลัยก็แต่งงานมีลูกเป็นโขยงแล้ว
พิจิกาปลง...แต่คนรอบตัวของหล่อนไม่ยอมปลง!
ไม่เพียงแต่แม่ที่ยังมีความหวังว่าหล่อนจะแต่งงานมีครอบครัวในสักวัน แต่ยังพ่วงด้วยลุงและป้า อีกทั้งญาติวัยเดียวกันของหล่อนด้วย
‘บุ๋มคิดว่าพี่พริกเป็นแฟนกับพี่อั๋นซะอีก ตอนป้าอรเอาการ์ดแต่งงานของพี่อั๋นมาให้ที่บ้าน พี่พริกรู้ไหมว่าแม่ตกใจไปเลย เพราะเข้าใจว่าพี่พริกถูกหักอก’
นี่ก็เป็นอีกเรื่อง...ไม่รู้ว่าหล่อนกับอาทิตย์ซึ่งเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กไปทำอีท่าไหนเข้า ใครๆ ถึงมองว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกัน ไม่ใช่แค่ญาติและผู้ใหญ่ในบ้านเท่านั้นที่เข้าใจผิด แต่เพื่อนอีกหลายคนก็พลอยเป็นไปด้วย
หากเวลานั้นพิจิกาได้แต่ยิ้มเจื่อน ไม่ใช่เพราะหล่อนแสลงใจที่อาทิตย์กำลังจะแต่งงาน สำหรับหล่อนแล้ว อาทิตย์แต่งงานไปได้ก็เป็นเรื่องดี เพราะชื่อของอาทิตย์กลายเป็นเงาตามตัวจนหล่อนพลอยเบื่อหน้าเขาไปแล้ว...แต่เป็นเพราะเวลานั้นหล่อนเพิ่งถูกคนรักบอกเลิก หล่อนคงถูกหักอกจริงๆ แม้จะไม่แสดงอาการก็ตาม
รถคันเล็กสีครีมจอดหน้ารั้วบ้านไม้ คนขับรถกระตุกยิ้มขันด้วยยังติดพันอยู่กับความคิด
หญิงสาวเปิดประตูรถออกมา เมื่อล็อกรถเรียบร้อยจึงเดินไปยังประตูรั้วบ้านหลังนั้น
“โฮ่ง โฮ่ง...โฮ่งๆๆ”
เสียงดังรัวมาให้ได้ยินก่อนจะเห็นตัว พิจิกาหยุดตัวเองทันที ตัดสินใจยืนรออยู่ด้านนอก หล่อนไม่เดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปข้างในอย่างแน่นอน ถึงแม้ประตูรั้วแค่งับปิดไว้ก็ตาม เพราะไม่ไว้ใจเจ้าหมาพันธุ์ไทยขนเป็นเงามันวับทั้งสามตัว พลันเสียงเห่ากรรโชกน่ากลัวก็หยุดเหมือนปิดสวิตช์เมื่อเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา
“มะขาม มะยม มะดัน หยุดเห่าได้แล้วลูก นั่นเจ้าพริกพี่ของเอ็งไง จำไม่ได้เหรอ พี่เอ็งมาทีไรก็เห่าไล่เขาทุกทีสิน่า”
คนถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นพี่สาวของ ‘เจ้าสามมะ’ ถึงกับกลอกตาขึ้นสูง เห็นท่าทีสนทนาของพ่อกับพวกมันแล้วนึกหมั่นไส้ตงิดๆ
“กลับเข้าบ้านก่อนไป พ่อจะคุยกับพี่เขา”
น้ำเสียงอ่อนโยนนั้น พ่อไม่ได้พูดกับหล่อน...แต่พูดกับเจ้าสามตัวที่เดินกระดิกหางทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายต่างหาก
“ว่าไงเอ็ง ช้าเกือบชั่วโมงนะ ข้าคิดว่าวันนี้จะไม่มา กำลังจะเก็บเจ้าดำใส่กล่อง พรุ่งนี้มีนัดส่งให้ลูกค้าตั้งแต่เช้า”
เมื่อจัดการสุนัขทั้งสามตัวให้กลับเข้าบ้านแล้ว ชายชราที่เกษียณจากตำแหน่งวิศวกรโยธาของหน่วยงานราชการมาได้สามปีก็ถามลูกสาวคนเดียวของเขา
“หนูติดฝน ไม่ได้ถือร่มเข้าไปในร้านกาแฟด้วย กว่าฝนจะขาดเม็ดก็ปาไปตั้งสองชั่วโมง”