บทนำ
เม็ดฝนที่ตกกระทบผนังกระจกของร้านกาแฟก่อนจะไหลลงเป็นทางยาวกำลังดึงดูดความสนใจของพิจิกา หล่อนนั่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้กับประตูหน้าร้านมาสักพักใหญ่แล้ว พลางจับจ้องมันเหมือนเป็นสิ่งน่าสนใจ
ไม่บ่อยนักหรอกที่พิจิกาจะมีอารมณ์สุนทรียเช่นนี้ เพราะแต่ละวันที่ผ่านไปมีแต่ตารางงานที่รัดตัว นอกจากงานสอนในคลาสที่รับผิดชอบและงานที่ปรึกษาปริญญานิพนธ์ของนักศึกษาชั้นปีที่สี่แล้ว หล่อนยังมีงานวิจัยของตัวเองด้วย
หากถามว่าเบื่อไหม...พิจิกาตอบได้เลยว่าไม่เบื่อ หล่อนสนุกกับงาน คงเพราะการได้เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่หล่อนได้เลือกเอง แม้เหตุผลจะน่าขบขันสำหรับผู้หญิงวัยสามสิบสองปี...ไม่สิ หล่อนยังคงอายุสามสิบเอ็ดปี เพราะอีกตั้งสามเดือนกว่าจะครบรอบวันเกิด แต่ที่ว่ามานั้นมันก็เป็นเรื่องจริง
เมื่อเสียงข้อความเข้าในแอปพลิเคชันสนทนาดังขึ้น หญิงสาวจึงถอนความสนใจออกมาจากเม็ดฝน แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอ่าน
ลุงหมาน : ข้าขายไอ้ดำได้ยกชุด เอ็งจะมาถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนมั้ย
นิ้วเรียวสวยพิมพ์ตอบกลับ ขณะที่เรียวปากที่แต้มลิปสติกสีอ่อนแย้มอย่างเผลอไผล
พริก : หนูติดฝนอยู่ที่ร้านกาแฟ อีกชั่วโมงจะไปหาค่ะ
ลุงหมาน : โอเค ข้าจะรอเอ็ง
หญิงสาววางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ หัวใจเหงาหงอยกลับมาพองฟู
พิจิกาตัดสินใจกลับมายังจังหวัดบ้านเกิดหลังจากเรียนจบแทนที่จะหางานทำที่อเมริกาตามคำชักชวนของอดีตคนรัก เหตุผลหลักเพื่อจะได้อยู่ใกล้คนคนนี้…ลุงหมานที่อาศัยอยู่ในเรือนไม้ซึ่งตั้งอยู่ท้ายซอยในเขตตลาดเก่า ชายชราใจดีของเด็กๆ ในซอย ชายผู้นั้นเป็นพ่อของหล่อน
หากสุดท้ายเส้นทางของหล่อนกับคนรักต้องแยกจากกัน หลังจากกลับเมืองไทยไม่ทันครบขวบปี หล่อนก็ตกอยู่ในสถานะผู้หญิงอกหัก...
พิจิกาเฝ้าถามตัวเองว่าผู้หญิงอกหักที่ถูกคนรักบอกเลิกควรเศร้าและเสียใจไหม แน่นอน...ตามทฤษฎีมันต้องเป็นอย่างนั้น แต่ชีวิตจริงช่างประหลาด นอกจากความใจหายแล้ว หล่อนแทบไม่มีความเศร้าปนอยู่เลย
หลังจากความมึนงงผ่านไป พิจิกาก็พยายามหาเหตุผลว่าทำไมหล่อนถึงถูกบอกเลิก แม้อดีตคนรักบอกว่าเขาหมดความปรารถนาที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน แต่หล่อนก็ยังย้ำคิดย้ำถามตัวเองว่าแล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ความห่างไกลเป็นเหตุให้เลิกราหรือว่าแท้จริงทั้งสองคนต่างไม่ได้รักกันมากพอตั้งแต่ต้น
พวงผมยาวถูกมัดเป็นหางม้าโชว์ต้นคอระหง ทรวดทรงที่มองจากด้านหลังนั้นพอดิบพอดี อีกทั้งพวงแก้มใสที่แม้จะเห็นเพียงเสี้ยว แต่รับรองได้ว่าผู้หญิงหุ่นกำลังดีคนนี้มีใบหน้าที่ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
คนที่นั่งทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อยู่ตรงโต๊ะด้านในร้านกระตุกยิ้ม ถ้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อน เขาก็จะทำนายตามนั้น แต่ความเป็นจริง หล่อนเป็นคนที่เขาคุ้นตามานานกว่ายี่สิบปี...ดังนั้นแม้มองเห็นแค่เพียงแผ่นหลัง แต่เขาก็รู้ว่าดวงหน้าของหล่อนกำลังฉายความรู้สึกอย่างไร
“มองลูกค้าของแพมนานเกินไปแล้วนะ เดี๋ยวเธอก็ตกใจหาว่ามีคนโรคจิตแอบมองหรอก”
“เราแค่มอง ผู้ชายมองผู้หญิง ไม่เห็นจะแปลก”
ครัวซองต์ร้อนๆ ถูกวางลงบนโต๊ะ แล้วเจ้าของร้านที่มีสถานะเป็นคุณแม่ลูกหนึ่งก็หย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ตรงกันข้ามกับชายหนุ่ม
“ไม่แปลก ถ้าไม่ใช่การมองแบบไม่วางตา เมื่อกี้แพมเห็นโอ๊ตยิ้มด้วย ถ้าแพมถูกผู้ชายมองอย่างนี้ ฟันธงเลยว่าไอ้หมอนี่คิดไม่ซื่อ...บอกมาเลยนะ โอ๊ตคิดอะไรกับเธอคนนั้นหรือเปล่า”
“ไม่มี จะบ้าเหรอ เราจะคิดอะไรกับเขาได้ล่ะ”
“เอ๊ะ! พูดแปลก” หล่อนหรี่ตามองลูกค้าที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนร่วมคณะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ อย่างคาดคั้น “โอ๊ตพูดเหมือนกับรู้จักเธอ”
คนถูกถามไม่ตอบ แต่ท่าทีอมพะนำแถมยังอมยิ้มอย่างมีเลศนัยนั้นทำให้คนถามทุบต้นแขนแข็งแรงอย่างหนักมือด้วยความหมั่นไส้
“ท่ามาก ขอให้ผู้หญิงเมิน”
“นิสัยนะแพม” อายุธยกมือขึ้นลูบต้นแขนข้างที่ถูกประทุษร้ายป้อยๆ
“โอ๊ตชอบเขาใช่ไหม บอกแพมมา หรือกำลังคบกัน”
“ไม่ต้องยุ่งเลยน่า”
“โอ๊ะ! ดูทำท่าเข้าสิ...ต้องใช่แน่ๆ เลย”
ดวงตาคมภายใต้เลนส์ใสแสร้งมองเจ้าของร้านด้วยท่าทีไว้ตัวเมื่อหล่อนไม่เลิกจับผิดเขา หากประกายตาวิบวับนั้นบอกให้รู้ว่าเขากำลังคิดอย่างไร