บทที่ 2
เกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี (Gold Off The Sea) มีนายหัวราเมศวร์ กุลธร เป็นเจ้าของเกาะ ซึ่งเป็นเกาะส่วนตัวขนาดใหญ่กลางทะเลอันดามัน บนเกาะแห่งนี้มีครอบ
ครัวซึ่งเป็นลูกน้องของนายหัวราเมศวร์อาศัยอยู่เกือบยี่สิบครัวเรือน ทุกคนทำงานให้กับนายหัวราเมศวร์ ซึ่งทำธุรกิจหลักคือรังนกนางแอ่น เน้นการส่งขายในต่างประเทศเป็นหลัก สร้างรายได้ให้กับนายหัวปีละหลายร้อยล้าน
บนแผ่นดินใหญ่ นายหัวราเมศวร์มีอาคารพาณิชย์หรูหราทันสมัยเป็นตึกสามชั้นอยู่ย่านใจกลางเมือง ชั้นแรกของอาคารเป็นสำนักงานของบริษัทโกลด์ ออฟ เดอะ ซี สำหรับให้ลูกค้าได้ติดต่อธุรกิจ ส่วนสองชั้นที่เหลือจะเป็นห้องพักสำหรับพนักงานของบริษัท ซึ่งล้วนแต่เป็นลูกหลานของคนงานบนเกาะ ที่ไม่สะดวกเดินทางไปกลับระหว่างเกาะและแผ่นดินใหญ่ ก็สามารถพักอยู่ที่นี่ได้เลย
แต่สำหรับรินรดาและอธิศแล้ว ไม่มีที่ไหนที่ดีสำหรับพวกเขาเท่ากับการกลับไปนอนบนเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี นอนพักในบ้านแบบชาวเล มีคลื่นลมทะเลให้ความเย็นสบาย มีเสียงคลื่นซาซัดกระทบโขดหินเป็นท่วงทำนองดนตรีที่สรรสร้างจากธรรมชาติอันแสนไพเราะเสนาะหูขับกล่อมทั้งคืน
ทันทีที่อธิศออกเรือเร็วจากท่าเรือมุ่งสู่เกาะ เมื่อใบหน้าได้ปะทะกับคลื่นลมทะเล กลิ่นอายของความเค็มของน้ำทะเลโชยเข้าจมูก รินรดาก็หลับตาพริ้ม คลี่ยิ้มกว้างขณะสูดโอโซนอันแสนบริสุทธิ์เข้าสู่ปอดลึกๆ และการกระทำของเธอก็ไม่รอดพ้นสายตาของอธิศที่กำลังทำหน้าที่เป็นกัปตันขับเรือเร็วมุ่งสู่เกาะ จนต้องออกปากเอ่ยสัพยอกว่า
“ได้กลับเกาะก็ถึงกับเคลิ้มเลยหรือน้ำขิง”
รินรดาลืมตาขึ้นมองอธิศ ซึ่งอีกฝ่ายกำลังแย้มยิ้มกว้างไม่ต่างจากเธอ แถมสีหน้าและแววตาดูเป็นสุขไม่แพ้กัน ในยามได้อยู่ท่ามกลางคลื่นทะเล ก็เอ่ยถามกลับคืนว่า
“อย่ามาว่าแต่น้ำขิงเลย นายเองก็มีความสุขมากใช่ไหมละ ที่ได้ขับเรือเร็วแทนการขับรถสปอร์ตหรูๆ บนแผ่นดินใหญ่”
“แหม! รู้ทัน” อธิศกลอกตาพร้อมกับหัวเราะร่วน และเอ่ยรับคำพูดของคนที่ต่อว่าเขากลายๆ “ใช่! เราชอบขับเรือเร็ว ชอบนั่งอยู่หลังพวงมาลัยเรือ เราสามารถหลับตาเพื่อขับเรือก็ได้เพราะไม่มีอะไรขวางอยู่ข้างหน้า เราสามารถเพิ่มความเร็วได้เต็มเหนี่ยวโดยไม่ต้องกลัวว่าจะชนกับอะไรเข้า แต่เมื่อไรที่ขับรถ เราเหยียบคันเร่งได้ไม่เกินร้อยกิโลเมตร ขับได้ไม่ถึงสองนาทีรถก็ติดแล้ว”
“แถมบนแผ่นดินใหญ่อากาศไม่บริสุทธิ์เหมือนในท้องทะเลและบนเกาะของพวกเราด้วย”
เอ่ยบอกไปแล้วรินรดาก็สูดอากาศรับกลิ่นอายของความเค็มน้ำทะเลเข้าปอดอีกครั้ง ซึ่งอธิศก็ทำในท่าเดียวกัน ก่อนจะเอ่ยบอกกลั้วเสียงหัวเราะ
“อยู่บนแผ่นดินใหญ่ เราสูดอากาศได้ไม่เต็มปอดเลย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะต้องมาขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดกับพวกสาวๆ จ้างให้เราก็ไม่ไปแผ่นดินใหญ่หรอก”
“ขาดไม่ได้เลยนะกับเรื่องนี้” รินรดาต่อว่าพร้อมกับมองค้อนตาคว่ำด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาอธิศต้องหัวเราะไม่หยุด
“ก็ต้องมีบ้างแหละน่า...เรายังไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตน ก็ต้องหาทางระบายความใคร่ออกมาบ้าง ไม่ยังงั้นได้จุกอกตายแน่”
“ไม่พ้นเรื่องอย่างว่าเลยนะนายนะโม” รินรดาต่อว่าอย่างเหลืออด และก็ตั้งคำถามต่อให้คลายความสงสัยในตัวเพื่อนรัก
“ว่าแต่นายไม่คิดจะหาผู้หญิงดีๆ เพื่อแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาบ้างหรือ”
อธิศยักไหล่ใส่อย่างยียวน ก่อนจะเอ่ยตอบตามความจริงที่ตนคิดเช่นนั้น
“ก็เรายังหาผู้หญิงที่สวย เก่ง ฉลาด และรักเดียวใจเดียวแบบนายหญิงไม่เจอ
เราจึงครองตัวเป็นโสดอยู่จนถึงทุกวันนี้ยังไงล่ะ”
‘นายหญิง’ ที่อธิศได้กล่าวถึงด้วยความชื่นชมและอยากได้คู่ชีวิตที่สวยเก่งแบบนี้ก็คือ ‘พิมพ์นารา กุลธร’ ผู้เป็นภรรยาคู่ชีวิตของนายหัวราเมศวร์ กุลธร นั่นเอง
นายหญิงพิมพ์นาราเป็นที่เคารพรักของทุกคนบนเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี รวม
ถึงตัวอธิศด้วย ที่รักและเคารพนายหญิง ยกให้นายหญิงเป็นมารดาอีกคนของเขา ซึ่งเขาสามารถตายแทนนายหญิงพิมพ์นาราได้ เพราะนายหญิงเป็นคนช่วยชีวิตเขาในตอนเด็กให้พ้นจากมัจจุราช
ในตอนนั้นเด็กชายอธิศลงเล่นน้ำทะเลกับรินรดาและเพื่อนๆ อีกหลายคน เด็กที่เติบโตมากับคลื่นลมทะเลไม่น่าจมน้ำได้ ถ้าหากไม่ถูกอาการตะคริวเล่นงาน และนายหญิงพิมพ์นาราก็เป็นคนที่กระโจนลงน้ำเพื่อช่วยให้เด็กชายคนนี้รอดพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชร้าย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายอธิศก็รักนายหญิงพิมพ์นารายิ่งกว่าชีวิต และตั้งปณิธานไว้ว่าหากเขาโตขึ้น เขาจะหาผู้หญิงที่เก่ง ฉลาดและกล้าหาญเด็ดเดี่ยวแบบนายหญิงพิมพ์นาราเป็นคู่ชีวิตของเขา แต่...อายุปาเข้าไป 28 ปีแล้ว เขาก็ยังไม่พบกับผู้หญิงผู้นั้นสักที จึงต้องครองตัวเป็นโสดอยู่เคียงคู่กับเพื่อนรักอย่างรินรดามาจนถึงทุกวันนี้
ได้ยินคำตอบจากเพื่อนรักแล้ว รินรดาก็พยักหน้าหงึกๆ ไม่คิดถามอีกแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่อยากแต่งงานสักที จากนั้นก็เอ่ยบอกถึงความรู้สึกของตนบ้าง
“เราอยากแต่งงานมีครอบครัวเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ แต่เรายังไม่เจอใครที่เหมือนนายหัวราเมศวร์สักคน”
“เรารู้ เธอได้อยากผัวแบบนายหัวราเมศวร์” อธิศสัพยอกกลั้วเสียงหัวเราะ และรินรดาก็มองค้อนตาคว่ำ ก่อนจะต่อว่ากลับคืน
“แหม! นายนี่ปากจัดจริงๆ เรียกว่าสามีก็ได้นะนายนะโม”
“เออ...สามีก็สามี ว่าแต่คำว่าผัวกับสามีความหมายมันต่างกันไหม”
อธิศรับคำและเอ่ยถามกลับกลั้วหัวเราะ
รินรดาถลึงตาใส่พร้อมกับต่อว่าอย่างเหลืออด “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ แต่จะขอบคุณเป็นอย่างมาก ถ้าหากนายนะโมจะพูดจาให้เข้าหูสุภาพสตรีสักหน่อย”
อธิศถึงกับหลุดเสียงหัวเราะดังลั่นกับคำเหน็บแนมจากรินรดา และด้วยขับเรือจากแผ่นดินใหญ่มาถึงท่าเรือบนเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี แล้ว จึงดับเครื่องยนต์ ทิ้งสะมอเรือลงสู่น้ำทะเล และดึงเชือกมัดเรือไว้กับเสาบนท่าเรือด้วย จากนั้นก็ขึ้นจากเรือเป็นคนแรกแล้วยื่นมือรอรับรินรดาที่กำลังจะก้าวขึ้นจากเรือ พอเพื่อนรักยืนอยู่บนท่าเรือได้แล้ว ก็เอ่ยพูดต่อว่า
“ใครๆ ก็รู้ว่าเธออยากเป็นเจ้าสาวของนายหัวราเมศวร์ เพราะเธอรักนายหัวมาก”
รินรดาพยักหน้ารับ พลางเอ่ยพูดถึงนายหัวราเมศวร์ด้วยน้ำเสียงยกย่องเป็นที่สุด
“ใช่ ฉันรักนายหัวราเมศวร์มาก เพราะนายหัวขอฉันมาเลี้ยง ถ้าไม่ได้นายหัวราเมศวร์ก็คงไม่มีรินรดาจนถึงทุกวันนี้ นายหัวเป็นผู้ชายที่อบอุ่น อ่อนโยน แต่ขณะเดียวกันนายหัวก็เด็ดเดี่ยวเด็ดขาดเรื่องการปกครองลูกน้องบนเกาะ”
“และที่สำคัญ... ตีนหนักด้วย”
อธิศหัวเราะร่วนขณะเอ่ยบอก จากนั้นก็เดินคู่กับรินรดาตรงไปยังบ้านพักของนายหัวราเมศวร์และนายหญิงพิมพ์นารา เพื่อรายงานให้ทั้งสองรู้ว่าตนกับรินรดาได้กลับมาจากแผ่นดินใหญ่แล้ว
“ที่โดนตีนของนายหัว เพราะพากันแอบหนีไปเที่ยวผู้หญิงบนแผ่นดินใหญ่ ใช่ไหมละ”
รินรดาต่อว่าอย่างรู้ทัน และอธิศก็พยักหน้าหงึกๆ รับคำโดยไม่คิดปฏิเสธ จนริน
รดาต้องต่อว่าต่อด้วยความหมั่นไส้
“ก็สมควรแล้วที่พวกนายจะโดนตีนของนายหัว”
“แหม! ก็ต้องมีบ้างสิ เพื่อจะได้ระบายความใคร่ ไม่ยังงั้นได้จุกอกแตกตายแน่ๆ”
อธิศหัวเราะร่วน เห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่หนุ่มโสดอย่างพวกเขาจะไปหาความสำราญกับสาวบริการบนแผ่นดินใหญ่ และเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็หยุดเดินอย่างกะทันหันแล้วเอ่ยถามรินรดาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“เธอยังไม่เจอเนื้อคู่สักที แต่นายนะโมยังว่างนะ เธอแต่งงานกับเราไหมละน้ำขิง”
“กับนายนี่นะ นะโม!” รินรดาถามเสียงสูงขณะชี้นิ้วไปยังคนเสนอความเห็น ที่ไม่น่าทำตามเลยแม้แต่นิดเดียว
และอธิศก็พยักหน้ารับรัวเร็ว พลางยืดอกผึ่งผายขณะบอกต่อราวกับเป็นการเสีย
สละหนักหนา
“ใช่! แต่งงานกับเรา ในเมื่อเธอหาเจ้าบ่าวไม่ได้สักที และกลัวว่าจะต้องขึ้นคานเป็นการถาวร เราก็จะเป็นเจ้าบ่าวให้กับเธอเอง”
“โอ๊ยย ไม่เอาหรอก” รินรดาร้องเสียงหลงดังกว่าเดิม โบกมือปฏิเสธว่อนเมื่อบอกว่า “ฉันเห็นนายมาตั้งแต่เด็ก เห็นไส้เห็นพุงหมดแล้ว ฉันแต่งงานกับนายไม่ลงหรอก”
“ฮ่าๆๆๆ...”
อธิศแหงนศีรษะหัวเราะร่วนเสียงดัง เอ่ยตอบกลับคืนทั้งๆ ที่ยังหัวเราะไม่หยุด
“ฉันก็เหมือนกัน ฉันเห็นเธอตั้งแต่เด็ก แก้ผ้าเล่นน้ำทะเลด้วยกันทุกวัน ฉันเห็นสัดส่วนของเธอหมดแล้ว ฉันเอาเธอเป็นเจ้าสาวไม่ลงเหมือนกัน”
“ไอ้นะโม! ฉันจะฟ้องนายหญิง ฟ้องนายหัวราเมศวร์ว่านายพูดหยาบคายกับฉัน” รินรดาร้องกรี๊ด วิ่งไล่ทุบอกของอธิศด้วยความโมโหที่อีกฝ่ายพูดให้เธอต้องอาย
อธิศวิ่งหนีพอเป็นพิธี พอรินรดาวิ่งไล่ทันก็ปล่อยให้อีกฝ่ายทุบหลังสักสองทีให้พอหายแค้น จากนั้นก็ตอบตามความเป็นจริง โดยดวงตาทั้งคู่ยังคงจ้องมองรินรดาด้วยแววตาอบอุ่นแบบพี่ชายตัวโตที่รักน้องสาวตัวเล็ก
“ก็มันเรื่องจริงนี่หว่า เราสองคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก เธอถูกนายหัวราเมศวร์ขอมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอเติบโตมาพร้อมกับฉัน ฉันรักเธอเหมือนน้องสาว ฉันไม่คิดจะแต่งงานกับเธอหรอก”
ขณะเอ่ยบอกนั้นอธิศก็ยกมือลูบไล้ศีรษะของรินรดาด้วย ส่วนรินรดาก็ซบหน้าลงกับบ่ากว้างของคนที่เธอรักไม่ต่างจากพี่ชาย
“ฉันก็รักนายเหมือนพี่ชาย เพราะนายคอยปกป้องฉันเวลาถูกเด็กคนอื่นๆ บนแผ่นดินใหญ่รังแก นายเป็นพี่ชายคนเดียวที่ฉันมี...ถ้าจะแต่งงานกับใครสักคน ฉันอยากแต่งงานกับผู้ชายที่อบอุ่นแบบนายหัวราเมศวร์”
“รอชาติหน้าเถอะน้ำขิง ชาตินี้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่เป็นคนดีรักเดียวใจเดียวแบบนายหัวราเมศวร์และนายหัวรามินอีกแล้ว”
อธิศเอ่ยบอกให้เพื่อนรักทำใจ ชาตินี้คงหาผู้ชายดีๆ เหมือนนายหัวราเมศวร์ยากจริงๆ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็เป็นผู้ชายที่ดีและสมบูรณ์แบบได้ไม่ถึงครึ่งของนายหัวรา
เมศวร์ กุลธร
“นี่หมายความว่าฉันต้องค้างเติ่งอยู่บนคานทองว่างั้นเถอะ” รินรดาทำเสียงปลงๆ
และอธิศก็โอบแขนรอบบ่าเล็กของเพื่อนรัก พยักหน้าหงึกๆ เอ่ยตอบให้รินรดาต้องร้องกรี๊ดอีกหลายรอบ
“ใช่แล้วยายน้ำขิง ยกเว้นว่าเธอจะหลับหูหลับตายอมแต่งงานกับฉัน...ฮ่าๆๆๆ”
“ยี้!!! เลิกพูดได้แล้วนายนะโม” รินรดาหวีดร้อง ทำหน้าสยดสยองกับความคิดของเพื่อนรัก
และไม่ทันได้โต้เถียงปะทะคารมกับอธิศต่อ ทั้งเธอและอธิศก็มีอันต้องชะงักเสียงลง เมื่อเห็นร่างใหญ่ล่ำสันผิวสีแทนของใครคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านพักของนายหัวราเมศวร์ และชายคนดังกล่าวได้ทอดมองเธอด้วยแววตาแปลกๆ ที่เธออ่านไม่ออก ก่อนจะหันไปจ้องมองอธิศเขม็ง จนอธิศต้องรีบลดมือลงจากบ่าเล็กของเธอ
ด้วยไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้คือใคร แต่คงเป็นเพื่อนหรือลูกค้าคนสำคัญของนายหัวรา
เมศวร์แน่ ถึงได้มาหานายหัวราเมศวร์ถึงบนเกาะ ทั้งรินรดาทั้งอธิศจงยกมือไหว้โดยอัตโนมัติ ซึ่งอีกฝ่ายทำแค่เพียงพยักหน้ารับไหว้ และทิ้งสายตาอยู่ที่รินรดาเป็นเวลา
นาน ก่อนจะเดินตรงไปยังท่าเรือ
รินรดามองตามบุรุษร่างใหญ่จนลับสายตา แม้เขาจะเดินไปถึงท่าเรือแล้ว แต่สายตาคมกริบที่จ้องมองด้วยแววตาที่เธออ่านไม่ออก ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอให้ตัวสั่นสะท้าน
“นะโม ผู้ชายคนนั้นคือใคร นายรู้จักเขาไหม”
“ฉันคิดว่าฉันรู้จักเขานะ ขอคิดก่อนว่าเคยเห็นเขาที่ไหน”
อธิศทำหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเบิกตาโตแล้วเอ่ยตอบออกมาหลังจากรู้แล้วว่าบุรุษร่างใหญ่น่าเกรงขามผู้นี้คือใคร
“นายหัวโมกข์! เขาคือนายหัวโมกข์ พิภัช เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของนายหัวราเมศวร์ ฉันได้ยินกิตติศักดิ์ของนายหัวโมกข์มานานแล้ว เพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ ก็วันนี้นี่เอง”
“นายหัวโมกข์...”
รินรดาพึมพำเรียกชื่อของนายหัวคนดัง ดวงตาสีนิลที่ทอดมองเธอด้วยแววตาแปลกๆ ยังคงวิ่งวนอยู่ในหัว จนต้องถามอธิศว่า
“ทำไมนายหัวโมกข์มองฉันแปลกๆ นายรู้ไหมนะโม”
อธิศส่ายหน้าปฏิเสธรัวเร็วในทันที “ไม่รู้! ถ้าเธออยากได้คำตอบก็ตามไปถามนายหัวโมกข์สิ”
“ไอ้บ้า!” รินรดาอดเจริญพรเพื่อนรักไม่ได้พร้อมกับทุบอกด้วย “ใครจะกล้าถามเขาละ นายไม่เห็นหรือยังไงว่าสายตาของเขาน่ากลัวแค่ไหน”
“เออ...รู้แล้วว่าน่ากลัว เขาจ้องมองฉันจนฉันตัวสั่นเหมือนกัน”
อธิศสารภาพตรงๆ ยอมรับว่าตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวตอนถูกนายหัวโมกข์จ้องมองเขม็ง และนั่นทำให้เขาต้องรีบลดมือจากการโอบกอดบ่าเล็กของเพื่อนรัก
“อย่าไปสนใจเลยน้ำขิง ขึ้นไปบนบ้านเถอะ จะได้บอกนายหญิงกับนายหัวรา
เมศวร์ว่าพวกเรากลับมาจากแผ่นดินใหญ่แล้ว”
รินรดาพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้เดินตามอธิศขึ้นไปบนบ้านในทันที หญิงสาวหันไปมองยังท่าเรือ ซึ่งไม่แน่ใจว่านายหัวโมกข์ได้ขับเรือออกไปหรือยัง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นแสงไฟจากก้นบุหรี่ไหววาบ และด้วยรู้สึกได้ว่ากำลังถูกนายหัวโมกข์จ้องมองเธออยู่ จึงรีบวิ่งหนีขึ้นไปบนบ้านอย่างรวดเร็วพร้อมกับบ่นอยู่ในใจว่า
‘น่ากลัวชะมัด แค่จ้องมองก็ทำให้เราใจสั่น อ่อนแรงไปหมด’