บทที่ 3
ภายในห้องทำงานบนบ้านพักของนายหัวราเมศวร์ กุลธร บนเกาะเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี สองบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการธุรกิจที่เกี่ยวกับท้องทะเลสีคราม กำลังนั่งจิบบรั่นดีเลิศรสและปรึกษาหารือกันด้วยเรื่องที่ติดเคร่งเครียด แต่หาใช่เรื่องงานไม่! แต่เป็นเรื่องหัวใจของนายหัวอีกคนที่เป็นเพื่อนรัก เพื่อนตายของนายหัวราเมศวร์
“นายเอาจริงหรือ เราคิดว่านายไม่ควรทำแบบนี้ เพราะมีสาวๆ มากมายรออยู่เป็นร้อยๆ ให้นายเลือกมาเป็นนายหญิงในชีวิตของนาย”
ขณะเอ่ยถามเสียงลึก นายหัวราเมศวร์ได้ยื่นแก้วบรั่นดีให้กับเพื่อนรักที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามบนโซฟาหนังแท้ และอีกฝ่ายได้รับบรั่นดีขึ้นจิบ ก่อนจะลดแก้วลง และเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว
“เอาจริงสิ! นายก็รู้ว่าเรารักคนของนายมาตั้งนานแล้ว”
คนที่เอ่ยตอบนายหัวราเมศวร์และเผยความจริงใจให้เห็นผ่านดวงตาคมกริบคือ ‘นายหัวโมกข์ พิภัช’ ผู้เป็นเพื่อนรักของนายหัวราเมศวร์นั่นเอง
นายหัวราเมศวร์พยักหน้ารับกับคำพูดในตอนท้ายของนายหัวโมกข์ แต่ก็อดถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้งไม่ได้ว่า
“เรารู้ว่านายรักเด็กของเรา แต่เราไม่คิดว่านายจะจริงจังถึงขั้นคิดแต่งงานยกให้เป็นนายหญิง เพราะเท่าที่ผ่านมา เราเห็นนายควงสาวๆ แทบไม่ซ้ำหน้าก็ว่าได้”
นายหัวโมกข์กระตุกยิ้มตรงมุมปาก ไม่เอ่ยตอบคำถามของเพื่อนรักในทันที มือใหญ่หยิบแก้วบรั่นดีขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว ก่อนจะเอ่ยตอบออกมา
“สาวๆ เหล่านั้นเป็นแค่ทางผ่านของเรา พวกเธอคบหาเราเพราะเราเป็นนายหัวเจ้าของฟาร์มเลี้ยงหอยมุกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ผู้หญิงเหล่านั้นรักเราเพราะเรามีเงินให้พวกเธอถลุงเล่น พวกเธอไม่ได้รักเราจริง ถ้าหากเราเป็นแค่ไอ้โมกข์ หรือเป็นกะลาสีเรือจนๆ คนหนึ่ง สาบานได้ว่าพวกเธอไม่มีทางชายตามอง”
“มันก็จริงของนาย” นายหัวราเมศวร์พยักหน้ารับเห็นด้วยกับคำพูดทุกประการของเพื่อนรัก “เราเคยเจอสถานการณ์เดียวกับนายแล้ว รักแท้จะไม่เกิดขึ้นตราบใดที่พวกเรามีเงินทองมากมายอยู่ในมือ กระทั่งได้เจอกับคุณพิมพ์ เราจึงรู้ว่าเธอรักเราด้วยใจอันพิสุทธิ์จริงๆ”
น้ำเสียงที่นายหัวราเมศวร์เอ่ยถึงพิมพ์นาราภรรยาคู่ชีวิต เต็มไปด้วยความอ่อน
โยน ดวงตาเปล่งประกายถึงความรักจนนายหัวโมกข์เห็นได้อย่างชัดเจน
“คุณพิมพ์เป็นผู้หญิงที่เก่ง ฉลาด เป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ ดูแลนายได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง และเรามั่นใจว่าเด็กผู้หญิงที่ถูกคุณพิมพ์เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ย่อมมีนิสัยใจคอเฉกเช่นเดียวกันกับคุณพิมพ์ และที่สำคัญ เราเฝ้าดูเด็กคนนี้เติบโตมานานแล้ว เรารอจนมั่นใจว่าเธอไม่มีคนรัก เราจึงมาพูดเรื่องนี้กับนาย เพราะตอนนี้เรารู้ว่าคนที่เหมาะ
สมกับเธอที่สุดก็คือเรา...นายหัวโมกข์”
“เราไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะปักใจรักน้ำขิงมาจนถึงทุกวันนี้ นายพบน้ำขิงครั้งแรกเมื่อไรนะ เราลืมแล้ว”
นายหัวราเมศวร์อาจจะจำไม่ได้ แต่คนที่เจอะเจอกับรักแรกพบอย่างนายหัวโมกข์จำได้แม่นไม่มีลืม แม้เวลาจะผ่านมาสิบปีแล้วก็ตาม และแน่นอนว่าหญิงสาวที่นายหัวทั้งสองคนกำลังพูดถึงก็คือรินรดา หรือที่ทุกคนบนเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี เรียกว่าน้ำขิง...
“เราพบน้ำขิงวันแรกเมื่อตอนเธออายุ 15 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เรากลับประเทศไทยหลังจากไปอยู่กับคุณพ่อที่ประเทศจอร์แดนเป็นเวลานาน และเรามาวันเกิดของนายในวันนั้น ทำให้ได้เห็นน้ำขิงเป็นครั้งแรก เธอกำลังโตเป็นสาวงามดั่งดอกไม้แรกแย้มที่เริ่มบานสะพรั่ง มีหนุ่มๆ ให้ความสนใจเธอมากมายหลายคน ซึ่งรวมถึงเราด้วย และถ้านายจำได้ เราบอกกับนายในวันนั้นว่าเรารักน้ำขิง”
“เราพอจะจำได้แล้ว วันนั้นนายบอกเราว่านายรักน้ำขิง และเราก็แซวนายว่าน้ำขิงยังเด็กเกินไปที่จะมีครอบครัว หลังจากนั้นนายก็ไม่พูดอะไรอีกเลย”
นายหัวราเมศวร์เริ่มจะจำได้บ้างแล้ว แน่นอนว่าหญิงสาวที่เพิ่งเติบโตอายุแค่เพียง 15 ปี ยังเด็กเกินไปที่จะเป็นภรรยาของใครสักคน
“เพราะถูกนายทักท้วงแบบนั้นยังไงละ เราจึงรอเวลาอันเหมาะสม น้ำขิงควรได้อยู่ใช้ชีวิตโสด ได้ใช้ชีวิตเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ก่อนจะแต่งงานในวัยอันสมควร และที่สำคัญ...เราเฝ้ารอเธออยู่ห่างๆ เพราะเรากลัวว่าเธอจะพบเจอผู้ชายอื่นที่เธอรักและเธอคิดว่าเขาคนนั้นสามารถดูแลปกป้องเธอได้”
“แล้วถ้าหากระหว่างที่นายเฝ้ารอ...น้ำขิงมีคนรักและแต่งงานไปแล้ว นายจะทำยังไง”
“เราก็ถือซะว่า...เรากับเธอไม่มีบุญวาสนาต่อกัน เราไม่โชคดีพอที่จะได้น้ำขิงมาเป็นนายหญิง”
แม้น้ำเสียงที่เอ่ยตอบอาจจะฟังดูราบเรียบ ทว่านายหัวราเมศวร์ก็รับรู้ได้ถึงความผิดหวังเสียใจที่แฝงมากับคำตอบจากนายหัวโมกข์
“ถ้ายังงั้นเราคิดว่านายกับน้ำขิงคงเกิดมาเป็นเนื้อคู่กัน เพราะน้ำขิงไม่เคยรักใครเลย เธอไม่เคยมีแฟนแม้แต่คนเดียว สมัยเด็กๆ เธอติดเราแจ และบอกว่าพอโตขึ้นอยากแต่งงานกับผู้ชายที่เก่งเหมือนนายหัวราเมศวร์ อยากเป็นเจ้าสาวของนายหัวราเมศวร์”
คราวนี้นายหัวโมกข์หัวเราะร่วนผสมโรงกับเสียงหัวเราะของเพื่อนรัก ที่หัวเราะออกมาหลังจากเอ่ยประโยคท้าย
“คนที่เก่งเหมือนนายหัวราเมศวร์ คงมีแค่นายหัวโมกข์คนเดียวเท่านั้น”
นายหัวโมกข์มั่นใจเกินร้อยจึงได้เอ่ยพูดออกมาเช่นนี้ ไม่มีใครเก่ง ฉลาด และร่ำรวยเท่ากับนายหัวทั้งสองคนนี้แล้ว
และนายหัวราเมศวร์ก็เห็นพ้องเช่นเดียวกัน “เราเชื่อ...ไม่มีใครที่เหมาะสมกับน้ำขิงเท่ากับนายอีกแล้ว เราจะทำตามคำขอร้องของนาย แต่...โมกข์...เราอยากให้นายรู้ว่าเรากับคุณพิมพ์รักน้ำขิงเหมือนเป็นลูกสาวของพวกเรา...เรารับน้ำขิงมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เธอยังเล็ก เราเลี้ยงดูให้เธอเติบโตมาพร้อมๆ กับรามิน เราขอร้องนายว่าอย่าทำให้น้ำขิงต้องน้ำตาตกเพราะความเสียใจ”
“ไม่แน่นอน!” นายหัวโมกข์ตอบรับเสียงหนักแน่นในทันทีที่เพื่อนรักได้เอ่ยขอร้อง “เรารอน้ำขิงมาถึงสิบปี เราไม่มีทางทำให้ผู้หญิงที่เรารักและเฝ้ารอต้องเจ็บปวดเสียใจอย่างแน่นอน”
นายหัวราเมศวร์พยักหน้ารับหลังจากเพื่อนรักให้คำสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้เขาวางใจได้ว่ามีคนที่เหมาะสมที่จะดูแลรินรดาต่อจากตนและภรรยาแล้ว
แน่นอนว่าหากคำใดที่นายหัวโมกข์ได้ให้คำสัญญาแล้ว จะไม่มีคำว่าผิดคำสัญญาเกิดขึ้น
“เราเชื่อนาย เดี๋ยวเราจะทำตามคำขอร้องของนาย แต่คงต้องเป็นวันพรุ่งนี้เราถึงจะคุยกับน้ำขิงได้ วันนี้น้ำขิงไปงานแต่งงานของเพื่อนบนแผ่นดินใหญ่ กว่าจะกลับก็คงดึกมาก”
“ไม่เป็นไร...เรารอได้ ขอแค่ให้ทุกอย่างสำเร็จและเป็นไปตามแผนการของเราก็พอ”
นายหัวโมกข์กระตุกยิ้มกับแผนการที่ได้ขอความร่วมมือจากนายหัวราเมศวร์เป็นกรณีพิเศษ
“สำเร็จแน่นอน เราเองก็อยากให้มีใครสักคนที่แกร่งมากพอที่จะดูแลน้ำขิงได้ และถ้าหากไม่ใช่นาย! เราก็ไม่ปล่อยน้ำขิงเช่นเดียวกัน”
“ขอบใจนายมากเพื่อนรัก”
นายหัวโมกข์คลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นแก้วบรั่นดีชนกับเพื่อนรักเพื่อนตาย หลัง
จากดื่มบรั่นดีหมดแก้วแล้ว ก็เอ่ยถามถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของอีกฝ่าย นั่นก็คือ
‘รามิน กุลธร’
“ว่าแต่หลานชายของเราหายไปไหน เรามาตั้งนานแล้วยังไม่เห็นนายหัวรามินเลย”