บทที่ 6 ออกเดินทางสู่แดนมาร
นับเป็นครั้งแรกที่ฮวาเย่ห์หยวนเหยียบย่างเท้าเข้าสู่แดนมนุษย์ตั้งแต่จากไปบำเพ็ญตบะเป็นเซียนเมื่อหมื่นปีก่อน ในเวลานี้บ้านเรือนเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมาก ผู้คนขวักไขว่ มีหลายสิ่งเกิดขึ้นแตกต่างจากแดนมนุษย์ที่นางรู้จัก
ดูเหมือนว่าแดนสวรรค์จะอยู่ห่างไกลจากแดนมนุษย์มากกว่าอดีตจนมนุษย์ไม่อาจเอื้อมถึง แต่กระนั้นผู้คนก็ยังคงพากันกราบไหว้เทพเจ้าไม่แตกต่างจากเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนเลย
ฮวาเย่ห์หยวนระงับความตื่นเต้น ในใจเฝ้าคิดย้อนไปถึงสิ่งที่เจ้าแม่กวนอิมได้สั่งสอนก่อนที่นางจะเดินทางมายังที่แห่งนี้
ก่อนที่จะถึงแดนมารนางจำต้องผ่านแดนมนุษย์ที่เป็นดินแดนขวางกั้นเสียก่อน และในแดนมนุษย์นี้ข้อห้ามอย่างเคร่งครัดที่ฮวาเย่ห์หยวนต้องจดจำคือห้ามแสดงพลังเซียนส่งเดชหาไม่แล้วพลังเซียนนั้นจะย้อนกลับทำร้ายตนเองได้ พลังเซียนของนางมีไว้ใช้เพื่อปราบปีศาจเท่านั้นไม่อาจใช้กับมนุษย์ได้
แม้กระนั้นฮวาเย่ห์หยวนผู้มีวรยุทธ์สูงส่งก็สามารถใช้ชีวิตในแดนมนุษย์ภายใต้หมวกคลุมหน้าที่มีผ้าสีขาวบางปิดมิดชิดจนผู้คนมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงเดินทางมาเกือบเดือนแล้ว
ตลอดระยะทางที่เดินทางฮวาเย่ห์หยวนถือโอกาสนี้ทำความดีเพื่อเพิ่มตบะช่วยเหลือมนุษย์มากมาย ทั้งสตรีผู้ที่ถูกบุรุษรังแก ทั้งคนแก่ชรา และเด็กที่ไม่มีทางสู้
นอกจากนั้นนางยังให้เงินกับพวกขอทานเพราะเห็นว่าน่าสงสารจนบัดนี้นางไม่เหลือเงินติดกายแม้แต่อีแปะเดียว
นางเดินหิวมาจนถึงโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง กลิ่นอาหารช่างยั่วยวนจนนางกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก
ความหิวนี่ช่างทรมานยิ่งกว่าการบำเพ็ญตบะเสียอีก เป็นเพราะฮวาเย่ห์หยวนเป็นเซียนใหม่จึงไม่มีสิทธิ์กินอาหารทิพย์ที่ทำให้อิ่มไปเป็นพันปีเหมือนเซียนชั้นสูง กว่าจะถึงขั้นนั้นนางยังต้องบำเพ็ญเพียรอีกมาก
โรงน้ำชาแห่งนี้อยู่ในเมืองป่ายเสวียซึ่งนับว่าเป็นเมืองสุดท้ายในดินแดนมนุษย์ก่อนจะมีภูเขาขวางกั้น
ด้านหน้าหากไม่ผิดถือเป็นดินแดนมารที่มีแต่ความน่าหวาดกลัวและมืดมิด อีกทั้งเพราะเป็นเมืองที่ใกล้แดนมารที่สุดจึงมีสำนักมารนอกรีตน้อยใหญ่ตั้งกระจัดกระจายอยู่โดยรอบเพื่อเป็นสำนักฝึกวิชาและดูดซับไอมารกันมากมาย
ในขณะที่ฮวาเย่ห์หยวนกำลังเมียงมองโรงน้ำชาด้วยความหิวโหย ฉับพลันสายตาก็ปะทะเข้ากับแผ่นกระดาษที่แปะติดอยู่หน้าร้าน นางอ่านผ่านๆ แล้วต้องหันขวับกลับมาตั้งใจอ่านอีกครั้ง
รับสมัครนักแสดงรายวัน จ่ายวันละหนึ่งตำลึงทอง
ข้ารอดแล้ว หนึ่งตำลึงทองนับเป็นค่าจ้างที่สูงมาก ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเดือนเลยทีเดียว
ฮวาเย่ห์หยวนต้องตาโตเมื่อเห็นว่ามีผู้คนมาต่อแถวสมัครงานกันมากเพียงใด เหตุใดคนจึงมากมายเช่นนี้เล่า
"พี่ชายทุกคนมาสมัครงานกันทั้งหมดหรือ"
"ใช่สิ ที่นี่เป็นนับเป็นที่ฝึกวิชาผู้คนต่างเดินทางมาจากทั่วสารทิศเมื่อใช้จ่ายเงินหมดก็ต้องหางานทำเจ้าก็เช่นกันไม่ใช่หรือ"
บุรุษผู้นั้นพยายามมองลอดผ้าสีขาวผืนบางที่คลุมหมวกของนางอยู่ ฮวาเย่ห์หยวนในชุดบุรุษจึงกระแอมแล้วหันหน้าหนีหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นของเขา
"แม้คนจะเยอะแต่เพราะโรงน้ำชาแห่งนี้จ่ายเงินค่าจ้างดีและจ้างเพียงครั้งละสามวันเท่านั้นหากเจ้าไม่มีความสามารถเพียงพอเจ้าก็ไม่ได้งานหรอก ถ้าไม่มั่นใจก็ถอยไปดีกว่าอย่ามัวเสียเวลามาต่อแถวเลย"
บุรุษผู้นั้นเอ่ยต่อเขากวาดตามองฮวาเย่ห์หยวนในชุดบุรุษสีขาวสวมหมวกสีขาวคลุมจนไม่เห็นใบหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ท่าทางเหมือนเขาเป็นคุณชายบอบบาง สงสัยว่าคงจะหนีจากบ้านมาลอบฝึกวิชามารล่ะสิ
เป็นเพราะวิชามารฝึกง่ายกว่าวิชาเซียน หากสำเร็จก็ตั้งสำนักหากินหรือถ้าเลวขึ้นมาหน่อยก็เอาไปขูดรีดขูดเนื้อชาวบ้านได้ คนเลวและคนที่มีจิตใจค่อนข้างต่ำจึงหลั่งไหลกันมาฝึกมากมาย
ฮวาเหย่หยวนเพียงแต่รับฟังแล้วแอบยิ้มในใจ ไม่เห็นมีสิ่งใดยากเลยบำเพ็ญตบะมาเป็นหมื่นปีนางก็ทำสำเร็จมาแล้วเพียงแค่ยืนต่อแถวในเวลาไม่กี่ก้านธูปหาใช่เรื่องลำบากอันใด
จวบจนกระทั่งบุรุษผู้อยู่ด้านหน้าหายเข้าไปในห้องคัดเลือก ฮวาเย่ห์หยวนก็อดตื่นเต้นและครุ่นคิดอย่างหนักไม่ได้ว่านางจะแสดงสิ่งใดให้คนด้านในดู
นางดีดนิ้วเมื่อคิดว่าคงใช้วิชาง่ายๆ เช่นเสกสัตว์ต่างๆ ออกจากหมวกอะไรประมาณนั้น น่าจะเข้าท่า
นางชะเง้อคอมองอยู่นานจวบจนในที่สุดบุรุษผู้นั้นออกมาจากห้องด้วยใบหน้าเบิกบาน เขายังมีน้ำใจหรือคิดจะโอ้อวดก็ไม่รู้เดินตรงมาหานางแล้วเอ่ยขึ้น
"โรงน้ำชาได้คนเต็มแล้วพวกเจ้ากลับไปเสียเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ข้าคือผู้ที่ผ่านเข้ารอบวันสุดท้ายของวันนี้"
ฮวาเย่ห์หยวนอ้าปากค้าง เหตุใดเป็นเช่นนี้นางยืนหิวมาเป็นเวลานานหวังว่าจะได้แสดงฝีมืออันล้ำเลิศ
ไม่ได้นางไม่ยอมเป็นเพราะเถ้าแก่โรงน้ำชายังไม่เห็นฝีมือของนาง เชื่อว่าหากเขาได้ชมคงต้องรีบรับนางโดยเร็วที่สำคัญหากวันนี้นางยังไม่ได้กินข้าวอีกสงสัยคงได้วิญญาณสลายเพราะความหิวก่อนจะได้ยั่วยวนผู้ใด
ผู้คนที่ต่อแถวจากฮวาเย่ห์หยวนทยอยกันเดินกลับด้วยความผิดหวัง มีเพียงนางที่ยืนนิ่งอยู่กับที่นางจะรอจนคนด้านในออกมาแล้วเข้าไปขอร้องเขาให้ดูการแสดงของนางสักครั้ง
ยืนรออยู่นานก็ไม่มีผู้ใดโผล่ออกมา ฮวาเย่ห์หยวนมองซ้ายขวา เห็นว่าปลอดคนจึงตัดสินใจใช้ความรวดเร็วเข้าไปภายในโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตได้ นางปิดประตูเงียบเชียบ ด้านหน้ามีฉากกั้นห้องกั้นอยู่ นางจึงกระแอมเบาๆ
"เอ่อ นายท่านขอรับข้าน้อยขออภัยที่เข้ามาโดยพลการ"
เงียบ
"มีผู้ใดอยู่หรือไม่"
เงียบ