โชคชะตาหรือผีผลัก
แสงแรกแห่งวันใหม่สาดส่องเข้ามาในห้อง ไป๋หลิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าเล็กน้อย นางบรรจงแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อน เรียบง่ายแต่สง่างามราวกับเทพธิดา
“คุณหนูช่างงดงามยิ่งนัก” เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยชมด้วยความชื่นชม ขณะมองไป๋หลิงด้วยสายตาพึงพอใจ “วันนี้ต้องเป็นวันดีของคุณหนูแน่นอน”
ไป๋หลิงยิ้มรับคำชมอย่างเขินอาย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกและเดินตามชายร่างท้วมเจ้าของโรงเตี๊ยมออกจากโรงเตี๊ยมไป
รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูวังหลวงอันใหญ่โต ไป๋หลิงมองกำแพงสูงตระหง่านด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของนางจะพลิกผันมาถึงจุดนี้
“ไม่ต้องกลัวนะขอรับคุณหนู” เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยปลอบหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่แฝงเลศนัย
เมื่อผ่านพ้นประตูวังอันโอ่อ่าเข้าไป ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของไป๋หลิงคือลานกว้างที่เต็มไปด้วยหญิงสาวนับร้อย แต่ละนางต่างแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีสันสดใส ประดับประดาด้วยเครื่องประดับงดงามราวกับนางฟ้า พวกนางยืนเรียงแถวเป็นระเบียบ รอคอยการคัดเลือกอย่างใจจดใจจ่อ
“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ” ไป๋หลิงถามเจ้าของโรงเตี๊ยมด้วยความสงสัย
“ที่นี่คือสถานที่ใช้สำหรับคัดเลือกนางกำนัลขอรับคุณหนู”
จากนั้นไป๋หลิงจึงเดินตามหญิงสาวคนอื่น ๆ ไปเข้าแถวเรียงหนึ่ง หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนมองมาที่ไป๋หลิง นางจะรีบหลบสายตาและก้มหน้าลงทันที ราวกับกลัวว่าจะถูกจับได้ว่ากำลังรู้สึกหวาดกลัวและไม่มั่นใจ
ไป๋หลิงพยายามยิ้มให้กับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ข้า... ข้าชื่อไป๋หลิงเจ้าค่ะ” นางแนะนำตัวเสียงแผ่ว
หญิงสาวข้าง ๆ ยิ้มรับอย่างเป็นมิตร แต่ไป๋หลิงกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นเต็มไปความเสแสร้ง
“ข้าชื่อหยางหลิน” หญิงสาวแนะนำตัวกลับ “เจ้ามาจากไหนหรือ”
“ข้ามาจากกวางโจวเจ้าค่ะ” ไป๋หลิงตอบเสียงเบา
“อ้อ... กวางโจว” หยางหลินทอดเสียงยาว ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ “ข้าเคยได้ยินมาว่าสาว ๆ ที่นั่นงดงามราวกับดอกไม้ป่า ช่างสวยใสแต่ไร้เดียงสา”
ไป๋หลิงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ นางไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป คำพูดของ หยางหลิน แม้จะเป็นคำชม แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกหยางหลินดูแคลนว่านางเป็นเพียงสาวบ้านนอกที่ไม่ประสีประสามากกว่า
ไม่นานนัก พิธีคัดเลือกก็เริ่มต้นขึ้น เหล่าขันทีและนางกำนัลชั้นผู้ใหญ่ก้าวเข้ามาในลานกว้าง พวกเขาเดินตรวจตราหญิงสาวแต่ละคนอย่างพินิจพิเคราะห์ ตั้งแต่รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ไปจนถึงกิริยามารยาท ทุกอิริยาบถล้วนถูกจับตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แม้ไป๋หลิงจะรู้สึกแปลกใจกับขั้นตอนการคัดเลือกนางกำนัลที่แสนเข้มงวด แต่ด้วยนิสัยขี้อายและไม่กล้าแสดงออก นางจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจ ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามข้าหลวงและเหล่าหัวหน้านางกำนัลที่กำลังพิจารณาหญิงสาวแต่ละคนอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ทันใดนั้น บรรยากาศโดยรอบก็พลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างพากันเงียบเสียงลง ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมเพรียงกัน ราวกับกำลังเตรียมรับเสด็จผู้มีอำนาจล้นฟ้า
“ถวายบังคมชินอ๋องเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ” เสียงขานรับดังกึกก้องไปทั่วลานกว้าง
ไป๋หลิงเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงที่ได้ยิน หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น เมื่อเห็นร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำปักลายมังกรสีทองกำลังก้าวเข้ามาอย่างองอาจ บุรุษผู้นั้นมีใบหน้าคมคายราวกับเทพบุตร ผิวขาวผุดผ่อง ริมฝีปากได้รูป และดวงตาสีนิลที่คมกริบแต่แฝงไปด้วยแววเย็นชา
นั่นคือ “หลี่เหว่ย” ชินอ๋องผู้สูงศักดิ์และเลื่องชื่อในเรื่องความสามารถในการศึก แต่ในขณะเดียวกันก็ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและไร้หัวใจ ว่ากันว่าคนผู้นี้ไม่เคยสนใจการคัดเลือกพระสนมของฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชาย แต่ในวันนี้เขากลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่ สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน
สายตาของหลี่เหว่ยกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดลงที่ร่างบอบบางของไป๋หลิงที่ยืนอยู่ท้ายแถว แววตาของเขาเป็นประกายวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเรียบเฉยดังเดิม
เขาเดินผ่านเหล่าหญิงสาวไปอย่างเชื่องช้า ท่าทางของเขาสง่างามและทรงอำนาจ ทุกย่างก้าวของเขาชายผู้นั้นทำให้หัวใจของไป๋หลิงเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ไป๋หลิงไม่เคยเห็นบุรุษที่สง่างามเช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงผีเสื้อตัวเล็ก ๆ ที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่
“ชินอ๋อง” นางกำนัลชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งรีบก้าวเข้ามาคำนับ “ไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จมาที่นี่มีเหตุอันใดเพคะ”
หลี่เหว่ยไม่ตอบคำถาม แต่กลับหันไปมองไป๋หลิงอีกครั้ง รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นอย่างมีเลศนัย