ถูกชวนให้ทำงานในวังหลวง
“คุณหนูโปรดพักผ่อนตามสบายเถิดขอรับ” เจ้าของโรงเตี๊ยมพูดขึ้น พลางเปิดประตูห้องพักให้ไป๋หลิง “มีสิ่งใดขาดเหลือบอกข้าน้อยได้เลยนะขอรับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ไป๋หลิงยิ้มหวานให้เจ้าของโรงเตี๊ยม ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องพัก
ภายในห้องพักตกแต่งอย่างหรูหราด้วยเครื่องเรือนไม้สักแกะสลักลวดลายวิจิตร เตียงนอนกว้างใหญ่ปูด้วยผ้าไหมเนื้อดีสีชมพูอ่อน หน้าต่างไม้บานใหญ่เปิดออกรับลมเย็น ๆ ที่พัดมาจากสวนด้านนอก
ไป๋หลิงเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังทิวทัศน์เมืองหลวงที่กว้างใหญ่เบื้องล่าง แสงไฟจากโคมไฟนับพันดวงส่องสว่างไสวราวกับหมู่ดาวบนท้องฟ้า
“เมืองหลวงนี่ช่างสวยงามเหลือเกิน” ไป๋หลิงพึมพำกับตัวเอง
ในขณะที่ไป๋หลิงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เจ้าของโรงเตี๊ยมก็เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้า
“คุณหนู” เขาเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะถามคุณหนูสักเรื่อง”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” ไป๋หลิงถามอย่างสงสัย
“เอ่อ... ข้าคิดว่าคุณหนูคงเดินทางมาเมืองหลวงเพียงลำพัง” เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “หากคุณหนูสนใจ ตอนนี้ในวังหลวงกำลังเปิดรับสมัครนางกำนัลพอดี ด้วยรูปโฉมงดงามและชาติตระกูลที่ดีของคุณหนู ข้าน้อยคิดว่าคุณหนูเหมาะสมจะเป็นนางกำนัลในวังหลวงยิ่งนัก หากคุณหนูสนใจ ข้าน้อยสามารถพาคุณหนูเข้าวังไปสมัครได้นะขอรับ”
ไป๋หลิงเบิกตากว้างด้วยความดีใจ นางไม่เคยคิดที่จะทำงานในวังหลวงมาก่อน แต่โอกาสนี้ดูจะเป็นหนทางที่ดีที่จะทำให้ชีวิตของนางดีขึ้น อย่างน้อยในวังหลวงก็มีที่พัก อาหารการกิน และความเป็นอยู่ที่ดีกว่าการใช้ชีวิตข้างนอกเพียงลำพัง
“จริงหรือเจ้าคะ” ไป๋หลิงถามอย่างตื่นเต้น
“จริงแท้แน่นอนขอรับคุณหนู” เจ้าของโรงเตี๊ยมพูด “ข้าน้อยมีคนรู้จักในวังหลวง ข้าน้อยจะฝากฝังคุณหนูให้เอง”
ไป๋หลิงมองหน้าเจ้าของโรงเตี๊ยมอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ” ไป๋หลิงพูด
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับคุณหนู” เจ้าของโรงเตี๊ยมพูด “ข้าน้อยยินดีช่วยเหลือคุณหนูเสมอ”
เจ้าของโรงเตี๊ยมยิ้ม แต่กลับเป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา
“เช่นนั้น ข้าน้อยจะรอคุณหนูพรุ่งนี้ช่วงเช้าขอรับ” เจ้าของโรงเตี๊ยมพูด ก่อนจะโค้งคำนับแล้วเดินจากไป
ไป๋หลิงปิดประตูห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียง รู้สึกตื่นเต้นกับอนาคตข้างหน้า การได้ทำงานในวังหลวงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับชีวิตใหม่ของนางก็เป็นได้
ยามราตรีแผ่คลุมเมืองหลวงอันเคยสว่างไสวให้ตกอยู่ในความเงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์สลัวส่องนำทางตามตรอกซอกซอยที่เปลี่ยวร้าง เจ้าของโรงเตี๊ยมบุปผาสวรรค์ก้าวเดินอย่างระมัดระวังไปตามซอยแคบ ๆ ด้านข้างโรงเตี๊ยม แสงตะเกียงจากภายในส่องลอดออกมาเป็นระยะ ทำให้เงาของเขาล้อแสงไฟวูบไหวบนกำแพงอิฐเก่าแก่
เมื่อมาถึงจุดนัดหมาย ร่างสูงใหญ่ในผ้าคลุมสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืด พลางเขายื่นถุงเงินให้กับชายร่างท้วมเจ้าของโรงเตี๊ยม
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม” เสียงทุ้มต่ำถามขึ้นจากใต้ผ้าคลุม
“เรียบร้อยขอรับนายท่าน” เจ้าของโรงเตี๊ยมตอบอย่างร้อนรน “คุณหนูรูปงามหลงกลข้าน้อยเต็มเปา พรุ่งนี้ข้าน้อยจะพานางไปส่งให้ท่านตามแผน”
ชายผู้นั้นพยักหน้ารับ ก่อนจะโยนถุงเงินอีกใบให้เจ้าของโรงเตี๊ยม
“นี่เป็นค่าตอบแทนส่วนที่เหลือ”
ชายร่างท้วมเจ้าของโรงเตี๊ยมรับถุงเงินด้วยความโลภ น้ำลายสอขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงน้ำหนักของเงินที่อยู่ในถุง แต่แล้วความรู้สึกผิดก็แล่นเข้ามาในหัวใจ เขาเหลือบมองไปยังห้องพักของไป๋หลิงที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยม
“คุณหนูผู้น่าสงสาร” เขาพึมพำกับตัวเอง “แต่ข้าก็ต้องทำ ข้าต้องการเงิน”
ชายวัยกลางคนเจ้าของโรงเตี๊ยมสลัดความรู้สึกผิดทิ้งไป ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ชายชุดดำยืนอยู่เพียงลำพังในความมืดมิด
ชายชุดดำมองตามเจ้าของโรงเตี๊ยมจนกระทั่งร่างนั้นหายลับไปในความมืด รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาภายใต้ผ้าคลุมสีดำ ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องมองเหยื่อ