หนีเข้าเมืองหลวง
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงมาแผดเผาผิวกายของไป๋หลิงจนรู้สึกร้อนผ่าว นางยกมือเรียวขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อยบนใบหน้าขาวผ่อง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกและเดินผ่านประตูเมืองหลวงขนาดใหญ่เข้าไป
ใบหน้าหวานของไป๋หลิงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตสีอำพันทอเป็นประกายระยิบระยับ ผิวพรรณผุดผ่องราวหิมะ ริมฝีปากแดงระเรื่อดุจผลทับทิมสุก ผสานกับเรือนผมดำขลับที่ยาวสลวยถึงกลางหลัง ยามต้องแสงแดดก็เปล่งประกายราวกับเส้นไหมชั้นดี
ไป๋หลิงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเส้นทางชีวิตของนางจะพลิกผันถึงเพียงนี้ จากคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เคยก้าวพ้นประตูจวน บัดนี้นางกลับต้องระเห็จออกจากบ้านเกิดเมืองนอน เผชิญกับโลกภายนอกที่กว้างใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
ไป๋หลิงในวัยแย้มบานสิบแปดปี แท้จริงแล้วเป็นบุตรีคนโตของเจ้าเมืองกวางโจว ไป๋ลู่เหลียน นางมีรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดาจุติ ผิวพรรณผุดผ่องดุจหยกสลัก แต่ร่างกายกลับบอบบางราวกับกลีบดอกไม้แรกแย้ม ไม่เคยได้สัมผัสโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ไพศาล เพราะสุขภาพที่ไม่สู้ดีนัก บิดาจึงหวงแหนและปกป้องนางราวกับไข่ในหิน
ทว่าแล้ววันหนึ่ง ชีวิตอันแสนสงบสุขของไป๋หลิงก็ถึงคราวพลิกผัน เมื่อฮูหยินใหญ่แม่เลี้ยงใจร้ายของนางยุยงให้บิดาจัดการแต่งงานให้นางกับขุนนางหนุ่มผู้มั่งคั่ง แต่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเรื่องความเจ้าสำราญและพฤติกรรมรุนแรงต่อสตรีที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเขา
ไป๋หลิงไม่อาจยอมจำนนต่อโชคชะตาอันโหดร้ายเช่นนั้นได้ นางจึงตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะหลบหนีออกจากบ้าน มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงด้วยความหวังที่จะสร้างชีวิตใหม่ด้วยสองมือของตนเอง
“เข้มแข็งไว้นะ...ไป๋หลิง” ไป๋หลิงบอกกับตัวเอง ขณะที่มองไปยังเมืองหลวงที่อยู่เบื้องหน้า
หลังจากเดินทางมาถึงเมืองหลวงได้ระยะหนึ่ง ไป๋หลิงก็มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโรงเตี๊ยมบุปผาสวรรค์ อันเป็นที่พักเลื่องชื่อในหมู่ผู้มีอันจะกิน ตัวอาคารสร้างด้วยไม้แกะสลักลวดลายประณีตงดงาม โคมไฟสีแดงสดประดับประดาตามชายคาส่องแสงเรืองรอง สอดประสานกับเสียงขับร้องและเสียงดนตรีที่ลอยแว่วออกมาจากภายใน ยิ่งขับให้บรรยากาศโดยรอบมีชีวิตชีวาและน่าหลงใหล
นางสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นหอมจรุงใจของดอกไม้นานาพันธุ์และเครื่องหอมชั้นดีลอยมาแตะจมูก ราวกับกำลังเชื้อเชิญนางเข้าสู่โลกแห่งความฝัน ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ มือเรียวกำป้ายหยกประจำตระกูลของบิดาไว้แน่น ราวกับเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงหนึ่งเดียวที่นางนำติดตัวออกมาจากจวนของบิดา
ไป๋หลิงเดินเข้าไปหาเจ้าของโรงเตี๊ยม ชายวัยกลางคนร่างท้วมในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม นางยื่นป้ายหยกให้เขาดู
“ข้า... ข้าขอห้องพักหนึ่งห้องเจ้าค่ะ” ไป๋หลิงพูดเสียงแผ่ว
เจ้าของโรงเตี๊ยมรับป้ายหยกไปตรวจสอบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไป๋หลิงด้วยสายตาแปลกใจ
“คุณหนูมาจากตระกูลไป๋แห่งกวางโจวหรือขอรับ” เขาถามเสียงสุภาพ
ไป๋หลิงพยักหน้ารับเบา ๆ
“เช่นนั้น เชิญคุณหนูตามข้าน้อยมาทางนี้ขอรับ” เจ้าของโรงเตี๊ยมผายมือเชิญไป๋หลิงไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยม
ขณะที่ไป๋หลิงก้าวตามเจ้าของโรงเตี๊ยมไป นางรู้สึกราวกับมีสายตาใครบางคนจับจ้องมาที่นางอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกเย็นวาบแล่นไปทั่วสันหลัง นางจึงหันกลับไปมองโดยรอบอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พบผู้ใด นางพยายามสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป คิดว่าคงเป็นเพราะความวิตกจริตของตนเอง
ณ มุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มผู้หนึ่งในอาภรณ์ผ้าไหมสีดำสนิท นั่งเอนกายอย่างสง่างาม สายตาคมกริบจับจ้องไปยังไป๋หลิงด้วยแววตาที่ยากจะหยั่งถึง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก แต่แววตาคู่คมกลับฉายแววใคร่รู้และสนใจในตัวหญิงสาวผู้นั้นอย่างปิดไม่มิด